week 3 หน่วยที่ 2 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

หน่วยที่ 2 รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

กระบวนการสืบค้น
            กระบวนการเรียนรู้แบบสืบค้น (Heuristics) เป็นการเข้าถึง ความรู้ ด้วยความสนใจ ใฝ่รู้ พยายามแก้ปัญหา ค้นหาโดยการสืบเสาะ ค้นคว้าเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากแหล่งข้อมูลความรู้ที่มีอยู่

การเรียนรู้
การเรียนรู้ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล เพื่อให้เกิดความรู้อย่างต่อเนื่องถาวร เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องตลอดชีวิต ซึ่งเป็นปรัชญา หลักของการศึกษาตลอดชีวิต (Live long learning) หรือ การศึกษาต่อเนื่อง (Continuing education) โดยมีจุดมุ่งหมายว่า การเรียนรู้จะช่วยในการพัฒนาคุณภาพชีวิตได้เป็นอย่างดี
ลักษณะของ กระบวนการเรียนรู้
กระบวนการเรียนรู้มี 8 ประการได้แก่
1.การเรียนรู้เป็นการลงมือปฏิบัติ
2.การเรียนรู้เป็นปัจเจกบุคคล
3.การเรียนรู้ได้รับอิทธิพลจากบุคคลในสังคมร่วมกัน
4.การเรียนรู้เป็นการตอบสนองสิ่งที่พบ/กระตุ้น
5.การเรียนรู้เป็นกระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวิต
6.การเรียนรู้ไม่สามารถเปลี่ยนกลับไป-มาได้
7.การเรียนรู้ต้องใช้เวลา
8.การเรียนรู้ไม่สามารถเกิดจากถูกบังคับ
แหล่งของการสืบค้น
- การสืบค้น สามารถแสวงหาได้รอบด้าน ตัวอย่างเช่น
แหล่งข้อมูลในพื้นที่ สถานที่จริง
แหล่งข้อมูลจากสื่อสิ่งพิมพ์
แหล่งข้อมูลจากโสตทัศนวัสดุ
แหล่งข้อมูลจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์
แหล่งข้อมูลจากสารสนเทศระบบเครือข่าย
วิทยุ
อ้างอิง



การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบ
ความหมาย
           การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบ หรือความรู้ด้วยตนเอง โดยผู้สอนจะเป็นผู้สร้างสถานการณ์ในลักษณะที่ผู้เรียนจะเผชิญกับปัญหา ซึ่งในการแก้ปัญหานั้น ผู้เรียนจะใช้กระบวนการที่ตรงกับธรรมชาติของวิชาหรือปัญหานั้น เช่นผู้เรียนจะศึกษาปัญหาทางชีววิทยา ก็จะใช้วิธีเดียวกันกับนักชีววิทยาศึกษา หรือผู้เรียนจะศึกษาปัญหาประวัติศาสตร์ ก็จะใช้วิธีการเช่นเดียวกับนักประวัติศาสตร์ศึกษา ดังนั้น จึงเป็นวิธีจัดการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการ เหมาะสำหรับวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ แต่ก็สามารถใช้กับวิธีอื่น ๆ ได้ ในการแก้ปัญหานั้น ผู้เรียนจะต้องนำข้อมูลทำการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปเพื่อให้ได้ข้อค้นพบใหม่หรือเกิดความคิดรวบยอดในเรื่องนั้น

การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบอาจแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบ
1.การค้นพบที่มีแนวทาง  (Guide  Discovery Method) เป็นวิธีการที่ผู้สอนนำผู้เรียนเข้าสู่เนื้อหาโดยการใช้คำถามที่สร้างขึ้นอย่างเหมาะสมและอธิบายเพื่อให้ผู้เรียนได้ค้นพบความคิดรวบยอดหรือหลักการ
2.การค้นพบด้วยตนเอง  (Pure Discovery Method)เป็นวิธีการที่คาดหวังว่าผู้เรียนจะไปสู่ความคิดรวบยอดและกระบวนการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ด้วยตนเองจะมีลักษณะให้ผู้เรียนลงมือคิดลงมือกระทำด้วยตนเองหลายเรื่องหลายด้านสรุปความคิดรวบยอดที่หลากหลายมาผูกโยงเป็นหลักการที่ผู้เรียนสร้างขึ้นได้เองและนำไปใช้ในโอกาสต่างๆ

วัตถุประสงค์
1.เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการสังเกต การคิดวิเคราะห์  ทำให้เกิดการเรียนรู้และสามารถสรุปหรือค้นพบหลักการ กฎเกณฑ์ประเด็นสำคัญหรือความจริงได้ด้วยตนเอง
2.เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ หลักการหรือกฎเกณฑ์ต่างๆและสามารถนำไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่หลากหลายได้
                การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบเน้นให้ผู้เรียนค้นหาคำตอบหรือความรู้ด้วยตนเอง ซึ่งผู้เรียนจะใช้วิธีการหรือกระบวนการต่าง ๆ ที่เห็นว่ามีประสิทธิภาพและตรงกับธรรมชาติของวิชา หรือปัญหา ดังนั้นจึงมีผู้นำเสนอวิธีการการจัดการเรียนรู้ไวหลากหลาย เช่น การแนะให้ผู้เรียนพบหลักการทางคณิตศาสตร์ด้วยตนเองโดยวิธีอุปนัย การที่ผู้เรียนใช้กระบวนการแก้ปัญหาแล้วนำไปสู่การค้นพบ มีการกำหนดปัญหา ตั้งสมมติฐานและรวบรวมข้อมูล ทดสอบสมมติฐานและสรุปข้อค้นพบ ซึ่งอาจใช้วิธีการเก็บข้อมูลจากการทดลองด้วย การที่ผู้สอนจัดโปรแกรมไว้ให้ผู้เรียนใช้การคิดแบบอุปนัยและนิรนัยในเรื่องต่างๆ ก็สามารถได้ข้อค้นพบด้วยตนเอง  ผู้สอนจะเป็นผู้ให้คำปรึกษา แนะนำหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้วิธีหรือกระบวนการที่เหมาะสม
          การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยและนิรนัยไปสู่การเรียนรู้แบบค้นพบ
การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย การจัดการเรียนรู้แบบนิรนัย และการจัดการเรียนรู้แบบค้นพบ มีความสัมพันธ์กันดังต่อไปนี้
         การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย เป็นการเรียนรู้จากส่วนย่อยไปหาส่วนรวมซึ่งผู้เรียนใช้เหตุผลจากตัวอย่างต่างๆไปสนับสนุนให้พบข้อสรุปโดยใช้ความรู้สึกนึกคิดของตนเองและเหตุผลทางตรรกวิทยาบางอย่างเพื่อนำมากำหนดเป็นข้อสรุปกฎเกณฑ์
        การจัดการเรียนรู้นิรนัย เป็นการเรียนรู้จากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย ซึ่งผู้เรียนจะนำหลักการทฤษฎี กฎเกณฑ์ หรือนิยามไปทดลองพิสูจน์เพื่อให้ได้ความคิดข้อสรุปหรือค้นพบข้อสรุปอื่นๆ
        การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบ  เป็นการเรียนรู้โดยการนำวิธีการจัดการเรียนรู้ทั้งสองวิธีมาใช้รวมกันเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้แบบค้นพบโดยใช้วิธีคิดแบบอุปนัยและนิรนัยที่ค้นหาคำตอบหรือความรู้ด้วยตนเอง

       ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้แบบค้นพบมีขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้
1.ขั้นนำเข้าสู่บทเรียนผู้สอนกระตุ้นและเร้าความสนใจของผู้เรียนให้สนใจที่จะศึกษาบทเรียน
2.ขั้นเรียนรู้ประกอบด้วย
            2.1ผู้สอนใช้วิธีจัดการเรียนรู้ แบบอุปนัยในตอนแรก เพื่อให้ผู้เรียนค้นพบข้อสรุป
            2.2ผู้สอนใช้วิธีตัดการเรียนรู้ แบบนิรนัย เพื่อให้ผู้เรียนนำข้อสรุปที่ได้ในข้อ2 ไปใช้เพื่อเรียนรู้หรือค้นพบข้อสรุปใหม่ โดยอาศัยเทคนิคการซักถาม โต้ตอบหรืออภิปรายเพื่อเป็นแนวทางในการค้นพบ
            2.3ผู้เรียนสรุปข้อค้นพบหรือความคิดรวบยอดใหม่
 3.ขั้นนำไปใช้
ผู้สอนให้ผู้เรียนนำเสนอแนวทางการนำข้อค้นพบที่ได้ไปใช้ในการแก้ปัญหา อาจใช้วิธีการให้ทำแบบฝึกหัดหรือแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อประเมินผลว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จริงหรือไม่

ข้อดีและข้อจำกัด
ข้อดีและข้อจำกัดของการจัดการเรียนรู้แบบค้นพบ มีดังนี้
ข้อดี
1.ช่วยให้ผู้เรียนได้คิดอย่างมีเหตุผล
2.ช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่ค้นพบได้นานและเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
3.ผู้เรียนมีความมั่นใจเพราะได้เรียนรู้สิ่งใหม่อย่างเข้าใจจริง
4.ช่วยให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทางด้านความคิด
5.ปลูกฝังนิสัยรักการค้นคว้าเพื่อหาคำตอบด้วยตนเอง
6.ก่อให้เกิดแรงจูงใจในตนเองต่อการเรียนสูง
7.ผู้เรียนรู้วิธีสร้างความรู้ด้วยตนเองเช่นการหาข้อมูลการวิเคราะห์และสรุปข้อความรู้
8.ทักษะที่เรียนจากการค้นพบจะถ่ายทอดไปยังการเรียนเรื่องใหม่ได้ง่ายขึ้น
9.เหมาะกันผู้เรียนที่ฉลาดมีความเชื่อมั่นในตนเองและมีแรงจูงใจสูง
ข้อจำกัด
1.ต้องใช้เวลาในการสอนมากพอสมควร
2.ไม่เหมาะกับชั้นเรียนที่ผู้เรียนมีความสามารถทางการเรียนแตกต่างกันมากเพราะผู้เรียนที่เรียนรู้ได้ช้าจะเกิดความท้อแท้ใจเมื่อเห็นเพื่อนในห้องทำได้
3.วิธีการสอนแบบค้นพบเหมาะสำหรับเนื้อหาบางตอนและเนื้อหาที่ไม่เคยเรียนมาก่อนเท่านั้น
4.วิธีการสอนแบบค้นพบที่ต้องคิดเหตุผลและตั้งสมมุติฐานเหมาะกับผู้เรียนในวัยที่สามารถเรียนรู้เกี่ยวกับนามธรรมได้
5.ผู้เรียนที่มีความสามารถไม่มากนักจะมีความยุ่งยากใจมากในการเรียนโยวิธีนี้โดยเฉพาะที่ต้องสรุปบทเรียนด้วยตนเอง
อ้างอิง


การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา
ความหมาย
การสอนแบบแก้ปัญหาเป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน ให้เรียนรู้ตามกระบวนการ โดยเริ่มตั้งแต่มีการกำหนดปัญหา วางแผนแก้ปัญหา ตั้งสมมติฐาน เก็บรวบรวมข้อมูล พิสูจน์ข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล ผู้สอนเป็นผู้เสนอปัญหาหรือผู้สอนและผู้เรียนจะร่วมกันกำหนดปัญหาที่มีความสำคัญ เป็นปัญหาใหม่ที่ผู้เรียนยังไม่เคยประสบมาก่อน และต้องไม่เกินทักษะทางเชาวน์ปัญญาของผู้เรียน ผู้เรียนจะเป็นผู้แก้ปัญหา หรือหาคำตอบด้วยตนเอง ความสามารถในการแก้ปัญหาของผู้เรียนจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสติปัญญา ความรู้ ประสบการณ์ แรงจูงใจ อารมณ์ ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาจะไม่มีรูปแบบหรือขั้นตอนตายตัว ผู้สอนจะต้องจัดสภาพแวดล้อมหรือบรรยากาศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการใช้กระบวนการคิดแก้ปัญหา ผู้สอนจะต้องให้โอกาสผู้เรียนใช้ความคิดและฝึกการแก้ปัญหา เพื่อให้เกิดความชำนาญ จะทำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ดี ในการจัดการเรียนรู้แบบแก้ปัญหานั้น มีหลักการสำคัญ คือ ให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้ลงมือกระทำกิจกรรมการเรียนรู้ จะเน้นทักษะการแสวงหาความรู้ การค้นพบ การสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง มีการจัดบรรยากาศในชั้นเรียนเป็นประชาธิปไตย นำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในขั้นตอนการจัดกิจกรรม

ความมุ่งหมาย
1.มุ่งทักษะการสังเกต การเก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ตีความ และสรุป
2.มุ่งทักษะการแก้ปัญหาแบบวิทยาศาสตร์อันเป็นวิธีที่มีเหตุผลซึ่งจะมีประโยชน์ต่อ การที่ผู้เรียนจะนำวิธีการไปใช้ในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตประจำวันได้
3.มุ่งฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์พิจารณาเหตุผล และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
4.มุ่งฝึกความเชื่อมั่นในตนเอง มีความคิดอิสระ และการทำงานร่วมกับกลุ่มเพื่อน

ขั้นตอนการสอน
วิธีสอบแบบแก้ปัญหาสามารถแบ่งเป็นขั้นตอนได้ ดังนี้
1.ขั้นกำหนดปัญหา
ผู้สอนและผู้เรียนอาจร่วมกันตั้งปัญหา ปัญหาที่นำมานั้นอาจมาจากแหล่งต่างๆ เช่น ปัญหาที่มาจากความสนใจของผู้เรียนส่วนใหญ่ ปัญหาที่มาจากบทเรียน โดยผู้สอนกำหนดขึ้นมาเองโดยพิจารณาจากบทเรียน เนื้อหาตอนใดเหมาะสมที่จะนำมาเป็นประเด็นในการตั้งปัญหาเพื่อนำไปสู่การเรียนรู้ ปัญหาที่เกี่ยวกับสังคมเป็นปัญหาที่พบเห็นกันทั่วไปในสภาพแวดล้อมของตัวผู้เรียน การหยิบยกมาเป็นปัญหาในการศึกษาย่อมจะเป็นสภาวะที่ทำให้ผู้เรียนเห็นว่ากำลังเผชิญกับปัญหาในชีวิตจริง ปัญหาที่เกิดจากประสบการณ์ของผู้เรียน ได้แก่ ปัญหากฎหมาย ปัญหาชีวิต ปัญหาสิ่งแวดล้อม
เมื่อกำหนดปัญหาแล้ว ผู้สอนเน้นให้ผู้เรียนทำความเข้าใจปัญหาที่พบในประเด็นต่างๆ เช่น ปัญหาถามว่าอย่างไร มีข้อมูลใดแล้วบ้าง ต้องการข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีกบ้าง การฝึกให้ผู้เรียนวิเคราะห์ปัญหาจะทำให้มีความเข้าใจปัญหามากขึ้น การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในขั้นนี้ ผู้สอนอาจตั้งปัญหา ตั้งคำถามให้ผู้เรียนเกิดข้อสงสัย เช่น การใช้คำถามการเล่าประสบการณ์หรือการสร้างสถานการณ์ให้เกิดปัญหาการให้ผู้เรียนคิดคำถามหรือปัญหาและการสาธิต เพื่อก่อให้เกิดปัญหา
2.ขั้นตั้งสมมติฐาน
การตั้งสมมติฐานเป็นการคาดคะเนคำตอบของปัญหา โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ช่วยในการคาดคะเน ขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นตอนการใช้เหตุผลในการคิดวิเคราะห์ปัญหาและคาดคะเนคำตอบ พิจารณาแยกปัญหาใหญ่ออกเป็นปัญหาย่อย แล้วคิดอย่างเป็นระบบ ผู้เรียนจะพยายามใช้ความรู้ความเข้าใจ ประสบการณ์เดิมมาคิดแก้ปัญหา คาดคะเนคำตอบ แล้วจึงหาทางพิสูจน์ว่าคำตอบที่คิดกันขึ้นมานั้นมีความถูกต้องอย่างไร แนวทางการคิดเพื่อตั้งสมมติฐาน เช่น ปัญหานั้นน่าจะมีสาเหตุมาจากอะไร หรือวิธีการแก้ปัญหานั้นน่าจะแก้ไขได้โดยวิธีใด
3.ขั้นวางแผนแก้ปัญหา
ขั้นนี้จะเป็นขั้นที่มีการวางแผน หรือออกแบบวิธีการหาคำตอบจากสมมติฐานที่ได้ตั้งไว้โดยศึกษาถึงสาเหตุที่เกิดปัญหาขึ้น และใช้เหตุผลในการคิดหาวิธีการแก้ปัญหาให้ตรงกับสาเหตุ โดยหาวิธีการแก้ปัญหาหลายๆ วิธี แล้วใช้วิธีพิจารณาเลือกวิธีแก้ปัญหาวิธีที่ดีที่สุด เป็นไปได้มากที่สุด ในกรณีที่มีปัญหานั้นต้องตรวจสอบด้วยการทดลอง ก็ต้องกำหนดวิธีทดลองหรือตรวจสอบเตรียมอุปกรณ์เครื่องมือที่จะใช้ให้พร้อม 
4.ขั้นการเก็บและการรวบรวมข้อมูล
ขั้นการเก็บและรวบรวมข้อมูลนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะศึกาค้นคว้าความรู้จากแหล่งต่างๆ เช่น ห้องสมุด อินเทอร์เน็ต ตำราเรียน การสังเกต การทดลอง การไปทัศนศึกษา การสัมภาษณ์ผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญ จากสถิติต่างๆ ในขั้นนี้ผู้เรียนจะใช้วิธีการจดบันทึกข้อมูลอย่างเป็นระบบเพื่อนำข้อมูลมาทดสอบสมมติฐาน
5.ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและทดสอบสมมติฐาน
เมื่อได้ข้อมูลที่รวบรวมมาแล้ว ผู้เรียนก็นำข้อมูลนั้นๆ มาพิจารณาว่าจะน่าเชื่อถือหรือไม่ประการใด เพื่อนำข้อมูลนั้นๆ ไปวิเคราะห์และทดสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้ว่าเป็นไปตามที่กำหนดหรือไม่
6.ขั้นสรุปผล
เป็นขั้นที่นำข้อมูลมาพิจารณาแปลความหมายระหว่างสาเหตุกับผลที่เกิดขึ้น ผู้เรียนประเมินผลวิธีการแก้ปัญหาหรือตัดสินใจเลือกวิธีการที่ได้ผลดีที่สุดในการแก้ปัญหา หรือเป็นการสรุปลงไปว่าเชื่อสมมติฐานที่กำหนดไว้นั่นเง ซึ่งอาจจะสรุปในรูปของหลักการที่จะนำไปอธิบายเป็นคำตอบ หรทอวิธีแก้ปัญหา และวิธีการนำความรู้ไปใช้ อนึ่งในการสรุปผลนั้น เมื่อได้ข้อสรุปเป็นหลักการแล้ว ควรนำพิจารณาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งว่าน่าเชื่อถือหรือไม่

บทบาทของครูผู้สอน
บทบาทของผู้สอนในการจัดการเรียนรู้ในการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา มีดังนี้
       1.กำหนดสถานการณ์หรือเสนอปัญหาที่เกิดขึ้นจริงซึ่งเป็นปัญหาในชีวิตประจำวัน เลือกปัญหาที่ตรงกับความสนใจของผู้เรียน เป็นปัญหาที่ใกล้ตัวผู้เรียน
      2.รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ ภายในและภายนอกห้องเรียน
      3.กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างเป็นขั้นตอน
      4.ให้คำแนะนำ/คำปรึกษา และช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้เรียนในการแสวงหาแหล่งข้อมูล การศึกษาข้อมูล  การศึกษาข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้เรียน
      5.กระตุ้นให้ผู้เรียนแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาที่หลากหลายและเหมาะสม
      6.ติดตามการปฏิบัติงานของผู้เรียนและให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด
      7.ประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยพิจารณาจากผลงานกระบวนการทำงาน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์
      8.สร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้เป็นประชาธิปไตย เพื่อให้ผู้เรียนกล้าแสดงออกด้านความคิดเห็นและแสดงออกด้านการกระทำที่เหมาะสม

บทบาทของผู้เรียน
บทบาทของผู้เรียนในการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหามีดังนี้
1.ร่วมกันเลือกปัญหาที่ตรงกับความสนใจของตนเองหรือของกลุ่ม
2.เผชิญกับสถานการณ์ปัญหาจริงๆหรือสถานการณ์ที่ผู้สอนจัดให้
3.วางแผนการแก้ปัญหาร่วมกัน
4.ศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง
5.ลงมือแก้ปัญหารวบรวมข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล  สรุปและประเมินผล

ข้อดีของวิธีสอนแบบแก้ปัญหา
1.ผู้เรียนได้ฝึกวิธีแก้ปัญหาอย่างมีเหตุผล ฝึกการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ
2.ผู้เรียนได้ฝึกการค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งความรู้ต่างๆ
3.เป็นการฝีกทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มและฝึกความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย
4.ประสบการณ์ที่ผู้เรียนได้รับจากการฝึกแก้ปัญหา จะมีประโยชน์ในการนำไปใช้ในชีวิตจริงทั้งในปัจจุบันและอนาคต
5.เป็นการสอนเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง  ครูจะมีบทบาทน้อยลง

ข้อจำกัดของวิธีสอนแบบแก้ปัญหา
1.ผู้เรียนต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ ถ้าผิดไปจะทำให้ผลสรุปที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
2.ผู้เรียนต้องมีทักษะในการค้นคว้าหาข้อมูลจึงจะสรุปผลการแก้ปัญหาได้ดี
3.ถ้าผู้เรียนกำหนดปัญหาไม่ดี หรือไม่คุ้นเคยกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จะทำให้ผลการเรียนการสอนไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

ข้อเสนอแนะในการใช้วิธีสอนแบบใช้กระบวนการแก้ปัญหา
1.ครูควรทำความเข้าใจในปัญหา และมีข้อมูลเพียงพอ
2.การวางแผนแก้ปัญหา ควรใช้หลากหลายวิธีการ และแยกแยะปัญหาออกมาเป็นส่วนย่อยๆเพื่อสะดวกต่อการลำดับขั้น

การประยุกต์ใช้
การจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา  นี้ใช้ได้กับทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้  แต่ ครูผู้สอนต้องศึกษาและหาวิธีการที่จะกระตุ้นให้ผู้เรียนร่วมคิดวิเคราะห์ ประเด็นปัญหาและคิดหาแนวทางแก้ปัญหานั้นๆด้วยวิธีการที่หลากหลาย  ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ด้านทักษะ  กระบวนการ  และคุณลักษณะอันพึงประสงค์

ประโยชน์ของวิธีการแบบแก้ปัญหา
1.การเสนอปัญหาที่น่าสนใจจะทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นในการเรียน
2.ผู้เรียนได้ฝึกคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง มีการฝึกทักษะ การสังเกต วิเคราะห์ หาเหตุผลใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ
3.ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการทำงานร่วมกับการทำกิจกรรมกลุ่ม เป็นการฝึกวิถีชีวิตประชาธิปไตย
4.ผู้เรียนได้ฝึกการค้นคว้าหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ทำให้ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่หลากหลาย
5.ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจจากประสบการณ์ตรง ทำให้มีความกระจ่างชัดเจนจากประสบการณ์การเรียนรู้ นำทักษะที่ได้รับ เช่น การเผชิญปัญหา การหาแนวทางในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ เป็นประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต
อ้างอิง



การเรียนรู้แบบสร้างแผนผัง

ความหมายของแผนผังมโนทัศน์
    แผนผังมโนทัศน์ หมายถึง ความคิดความเข้าใจที่ได้รับมาจากการสังเกต หรือประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง นำมาจัดประเภทของข้อมูลหรือเหตุการณ์ที่เหมือนหรือแตกต่างกันไว้ในกลุ่มหรือประเภทเดียวกันโดยอาศัยคุณลักษณะร่วมกัน เป็นเกณฑ์ องค์ประกอบของแผนผังมโนทัศน์มี3 องค์ประกอบ คือ มโนทัศน์หลัก   มโนทัศน์รอง มโนทัศน์ย่อย โดยเชื่อมโยงมโนทัศน์ที่มีความสัมพันธ์กันด้วยเส้น
รูปแบบของแผนผังมโนทัศน์มี 5 แบบ  ได้แก่ 
-  แบบกระจายออก (Point grouping)  
-  แบบปลายเปิด (Opened grouping) 
-  แบบปลายปิด (Closed grouping) 
-  แบบเชื่อมโยงข้ามจุด  (Linked  grouping) 
-  แบบผสม  (Mixed  grouping)

กระบวนการ Concept Mapping ประกอบด้วยขั้นตอนย่อย ๆ 6 ขั้นตอน
 1. Preparation Step - ขั้นของการเตรียมการ
       เป็นขั้นตอนที่ผู้ริเริ่มมีความคิดใหม่ๆ หรือมีโครงการใหม่ๆ ที่ต้องการจะทำการวิเคราะห์ ผู้ริเริ่มนี้จะเป็นผู้รวบรวมสมาชิกภายในกลุ่ม (สอดคล้องกับ ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice - CoP) ของการจัดการความรู้ -KM) จะเป็นจำนวนเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาที่ต้องการจะแก้ไข จากนั้นจะทำตารางนัดหมายไว้คร่าว ๆ หลังจากนั้นจะทำการนัดหมายการประชุมครั้งแรก ขั้นตอนนี้จะเป็นการกล่าวถึงโครงการ หรือความต้องการของโครงการ วัตถุประสงค์คืออะไร ต้องการผลลัพธ์อะไรบ้าง และการทำงานร่วมกันทางความคิดจะเป็นอย่างไร
2. Generation Step ขั้นของการสร้างความคิด
       คือการที่ทุกคนในกลุ่มเสนอความคิดเห็นของตนเองออกมา ข้อมูลที่ได้อาจจะมาจากตำรา งานวิจัย หรือแหล่งความรู้ (Sources of Knowledge) ที่หลากหลาย อาทิ ห้องสมุด อินเตอร์เน็ต หนังสือ วารสารวิชาการ ฐานข้อมูลความรู้ต่างๆ หรือบางครั้งอาจจะมาจากผู้เชี่ยวชาญ (Center of Excellence - CoE) ขั้นตอนนี้จะสนใจที่จำนวนของความคิด มากกว่า คุณภาพของความคิด ผู้นำการประชุม หรือ วิทยากรกระบวนการ (Facilitator) จะมีบทบาทที่สำคัญในช่วงเวลานี้เป็นอย่างมากที่จะกระตุ้นให้สมาชิกนำเสนอความคิดเห็น
3. Structure Step - ขั้นการจัดโครงสร้างความคิด
      สมาชิกในกลุ่มจะช่วยกันจัดกลุ่มของความคิด (Ideas Grouping) รวมทั้งการจัดลำดับช่วงชั้นของความคิด (Basic Ordering Ideas - BOIs)
4. Representation Step - การวิเคราะห์แผนที่มโนทัศน์
     เป็นขั้นตอนที่จะวิเคราะห์คุณภาพของความคิด วิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Relationship) วิเคราะห์ประเด็นเชื่อมโยง หรือเกี่ยวข้อง รวมทั้งวิเคราะห์ส่วนขาด หรือสิ่งที่ตกหล่น ยังไม่มีใครมอง
5. Interpretation Step - การตีความและแปลความหมาย
     เป็นขั้นตอนในการทำความเข้าใจ และแปลผลของแผนที่มโนทัศน์ เป็นขั้นตอนที่จะต้องนำแผนที่มโนทัศน์ออกมาสื่อสารให้เป็นที่เข้าใจได้โดยง่าย ไม่สำคัญว่าเขียนมันออกมาได้ แต่สำคัญว่า เขียนแล้ว ชาวบ้านอ่านเข้าใจด้วย ซึ่งตัวชาวบ้านเองก็จะต้องฝึกอ่าน แผนที่มโนทัศน์ให้เป็นด้วย
 6. Utilization Step การนำไปใช้ประโยชน์
     เป็นการนำ Concept Mapping ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงาน เช่น การนำไปใช้เป็น Strategic Map หรือการนำไปใช้เป็นกรอบแนวคิด (Conceptual framework) ในการดำเนินงานวิจัย หรือวิเคราะห์เพื่อ แก้ปัญหาขององค์กรหรือหน่วยงาน
ประโยชน์ของการใช้แผนผังมโนทัศน์  (Concept  Mapping)
    เนื่องจากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้แผนผังมโนทัศน์ จากการคิด วิเคราะห์และตัวอย่างที่หลากหลาย ดังนั้นผลที่ผู้เรียนจะได้รับโดยตรงคือ จะเกิดความเข้าใจในแผนผังมโนทัศน์นั้น และได้เรียนรู้ทักษะการสร้างมโนทัศน์ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการทำความเข้าใจมโนทัศน์อื่น ๆต่อไปได้ รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะการใช้เหตุผลโดยการอุปนัย(inductive reasoning) อีกด้วย

ข้อดีของการใช้แผนผังมโนทัศน์  (Concept  Mapping)
    ข้อดีที่สำคัญ ของ การใช้ Concept Mapping คือ ทำให้สามารถเห็นภาพความคิดรวบยอด ในรูปแบบที่จับต้องได้ ทำให้สามารถให้ความสำคัญได้ง่ายดาย จึงสะดวกในการนำไปทบทวนทุกครั้งที่ต้องการ นอกจากนี้ในการรวบรวมความคิดรวบยอดต้องใช้ความเข้าใจที่ชัดเจนและแม่นยำทั้งในเรื่องความหมาย และความเชื่อมโยงของความคิดรวบยอดจึงทำให้การเรียนรู้ กลายเป็นกระบวนการที่มีปฏิสัมพันธ์กัน ทั้งนี้ในการนำเสนอความคิดรวบยอดให้แก่นักเรียน ครูไม่ควรให้นักเรียนจำ Concept Mapping ที่เตรียมไว้แล้ว เพราะนั่นก็เป็นเพียงแค่การเรียนแบบท่องจำอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น ที่ไม่ช่วยให้เกิดการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายและยั่งยืน
ข้อจำกัดของการใช้แผนผังมโนทัศน์  (Concept  Mapping)
1.ผู้สอนต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจรูปแบบ  และประโยชน์ของมโนทัศน์  แบบต่างๆ  จึงจะสามารถสอนหรือ แนะนำผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี
2.ผู้เรียนอาจเกิดความเบื่อหน่าย  หรือไม่มีความอดทนต่อบางมโนทัศน์ที่ไม่กระจ่างชัดเจน


ภาพตัวอย่างการเขียนแผนผังมโนทัศน์
หลักการในการเขียนแผนผังมโนทัศน์ มีดังนี้
1. เขียนตัวหนังสือเป็นแบบตัวพิมพ์ใหญ่ กรณีภาษาอังกฤษ หรือ ตัวหนาและเน้นคำกรณีเป็นภาษาไทย สำหรับประเด็นความคิด (Node)
2. ใช้กระดาษแบบไม่มีเส้น (Unlined paper) เพื่อไม่ให้เส้นที่อยู่บนกระดาษมาขีดกรอบความคิด หากเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้เส้นบรรทัดอยู่ในแนวตั้ง (Vertical)
3. ใช้กระดาษเปล่าที่ไม่มีการเขียนอะไรมาก่อน
4. เชื่อมคำที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กันด้วยเส้น (Link line) หากมีความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นก็แตกเส้นเชื่อมออกไปด้านข้างดังในภาพข้างบน
5. เขียนต่อเนื่องไปอย่างรวดเร็วไม่ต้องหยุด ส่งผ่านความคิดให้เกิดความลื่นไหลไปเรื่อยๆ ไม่ต้องหยุดว่าความคิดควรจะอยู่ตรงไหน เขียนลงไปก่อน (เราสามารถเคลื่อนย้ายหรือลากเส้นความสัมพันธ์ได้ทีหลัง)
6. เขียนทุกอย่างลงไปโดยไม่ต้องตีความหรือพยายามหาคำอธิบายใดๆ เพราะกระบวนการจะหยุดชะงักในการคิด
7. หากถึงทางดันของการคิดก็ลองมองไปรวมๆ ทั้งภาพแผนที่มโนทัศน์เพื่อดูว่ายังมีส่วนใดตกค้างหรือหลงเหลือที่ยังไม่ได้เขียนลงไปหรือไม่
8. บางครั้งอาจมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สี หรือรูปทรง (shape) เพื่อแยกแยะหรือจัดหมวดหมู่ความคิด

สิ่งที่ควรจะปรากฎในแผนผังมโนทัศน์
   1. มีการแตกแขนงความคิด (Branches)
   2. ลูกศรแสดงความสัมพันธ์ระหว่างแขนงความคิด (Node) Arrow Direction
   3. การจัดกลุ่มของความคิด (Grouping ideas) โดยอาจจะขีดเส้นล้อมกรอบกลุ่มความคิด
   4. รายละเอียดในรูปแบบของรายการ (List) เพื่อแสดงประกอบแต่ละความคิด (Node List)
   5. บางครั้งอาจจะมีคำอธิบายประกอบแขนงความคิด (Node / Branches Note)

แผนผังมโนทัศน์  (Concept  Mapping)  สามารถนำมาใช้ในกระบวนการเรียนการสอนได้  ดังนี้
1. ในการสร้าง Concept Mapping จะต้องมีการอธิบายความคิดรวบยอดที่ยากให้ชัดเจน และจะต้องมีการเรียงลำดับอย่างเป็นระบบ ดังนั้นในการใช้ Concept Mapping ในการสอนจะช่วยให้ครูมีความเข้าใจในความคิดรวบยอดหลักต่าง ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างความคิดรวบยอดเหล่านั้นมากขึ้น จากนั้น Concept Mapping ช่วยให้ครูสามารถอธิบายให้นักเรียนได้เห็นภาพตามนั้นได้อย่างชัดเจนด้วย ซึ่งจะทำให้มีโอกาสน้อยที่จะไม่เข้าใจ หรือตีความความคิดรวบยอดสำคัญผิด
2. การใช้ Concept Mapping จะช่วยเสริมความเข้าใจ และการเรียนรู้ให้กับนักเรียน เพราะสามารถเห็นภาพ ความคิดรวบยอดที่สำคัญ ไปพร้อม ๆ กับสรุปความสัมพันธ์ระหว่างความคิดเหล่านั้น
3. การใช้ Concept Mapping ยังเป็นช่วยครูในการตรวจประเมินกระบวนการสอนด้วย โดยจะทราบจากการที่นักเรียนไม่เข้าใจ หรือตีความความคิดรวบยอดสำคัญอันไหนผิดบ้าง
4. สามารถใช้ การทำ Concept Mapping ในการประเมินความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียนได้

ขั้นตอนในการสร้าง Concept Mapping
1. เลือก ให้ความสนใจกับหัวเรื่องก่อน แล้วจึงหา Key Word หรือ วลี ที่เกี่ยวข้อง
2. จัดลำดับความสำคัญ วางตำแหน่งความคิดรวบยอด หรือ Key Word จากสิ่งที่เป็นนามธรรม และทั่วๆ ไป ที่สุด ไว้ด้านบน แล้ววางสิ่งที่ชี้เฉพาะ และชัดเจนมากขึ้นไล่ลงมาเรื่อย ๆ
3. จัดกลุ่ม จัดกลุ่มความคิดรวบยอดที่อยู่ในระดับเดียวกัน และเกี่ยวข้องกันไว้ด้วยกัน
4. เรียบเรียง จัดความคิดรวบยอดในรูปของแผนภูมิแสดงความคิดที่เป็นระบบ
5. เชื่อมโยงและเพิ่มข้อความ เชื่อมโยงความคิดรวบยอดเข้าด้วยกันโดยใช้เส้น และใช้ข้อความในการบรรยายแต่ละเส้นด้วย สรุปแนวการสอนแบบ Concept Mapping ว่ามีประโยชน์มากสำหรับการเรียนการสอนมักจะเป็นรูปแบบที่เรียงลำดับตามความสำคัญ (Hierarchical organization) ที่วางความคิดรวบยอดทั่วไปและกว้างๆ กว่าอันอื่น ไว้ด้านบน แล้วจึงค่อยวางความคิดรวบยอดที่มีความชัดเจนและชี้เฉพาะมากขึ้น เป็นลำดับลงมาที่ด้านล่าง





การจัดการเรียนรู้แบบใช้คำถาม (Questioning Method)
          เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนากระบวนการทางความคิดของผู้เรียน โดยผู้สอนจะป้อนคำถามในลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นคำถามที่ดี สามารถพัฒนาความคิดผู้เรียน ถามเพื่อให้ผู้เรียนใช้ความคิดเชิงเหตุผล วิเคราะห์ วิจารณ์ สังเคราะห์ หรือ การประเมินค่าเพื่อจะตอบคำถามเหล่านั้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้คำถามมีขั้นตอนสำคัญดังต่อไปนี้
 1. ขั้นวางแผนการใช้คำถาม
 ผู้สอนควรจะมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะใช้คำถามเพื่อวัตถุประสงค์ใด รูปแบบหรือประการใดที่จะสอดคล้องกับเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของบทเรียน
 2. ขั้นเตรียมคำถาม
 ผู้สอนควรจะเตรียมคำถามที่จะใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการสร้างคำถามอย่างมีหลักเกณฑ์ 
3. ขั้นการใช้คำถาม
 ผู้สอนสามารถจะใช้คำถามในทุกขั้นตอนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และอาจจะสร้างคำถามใหม่ที่นอกเหนือจากคำถามที่เตรียมไว้ก็ได้ ทั้งนี้ต้องเหมาะสมกับเนื้อหาสาระและสถานการณ์นั้น ๆ
 4. ขั้นสรุปและประเมินผล
 4.1 การสรุปบทเรียนผู้สอนอาจจะใช้คำถามเพื่อการสรุปบทเรียนก็ได้
4.2 การประเมินผล ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้ โดยใช้วิธีการประเมินผลตามสภาพจริง

อัสมา บิลมะหมุด ได้กล่าวว่า
         ความสำคัญการจัดการเรียนรู้ด้วยการใช้คำถาม เป็นวิธีการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาการคิดของผู้เรียนให้มีความสามารถด้านทักษะการคิดอย่างเป็นระบบ จุดเน้นคือการกระตุ้นผู้เรียนให้สามารถคิดและตั้งคำถามกระตุ้นให้เกิดความสนใจใฝ่รู้ และคิดหาคำตอบที่ถูกต้อง คำถามมีส่วนสำคัญที่จะจุดประกายให้ผู้เรียนฉุกคิด เกิดข้อสงสัย ใคร่รู้เพื่อแสวงหาคำตอบ และความรู้ต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด การใช้คำถามจึงเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดเป็น คิดได้
        แนวคิดเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนากระบวนการทางความคิดของผู้เรียน โดยผู้สอนจะป้อนคำถามในลักษณะต่าง ๆ ที่เป็นคำถามที่ดี สามารถพัฒนาความคิดผู้เรียน ถามเพื่อให้ผู้เรียนใช้ความคิดเชิงเหตุผล วิเคราะห์ วิจารณ์ สังเคราะห์ หรือ การประเมินค่าเพื่อจะตอบคำถามเหล่านั้น

ขั้นตอนสำคัญของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้คำถาม มีดังนี้
1. ขั้นวางแผนการใช้คำถาม          
           ผู้สอนควรจะมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าว่าจะใช้คำถามเพื่อวัตถุประสงค์ใด รูปแบบประการใดที่จะสอดคล้องกับเนื้อหาสาระและวัตถุประสงค์ของบทเรียน
2.ขั้นเตรียมคำถาม
            ผู้สอนควรจะเตรียมคำถามที่จะใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการสร้างคำถามอย่างมีหลักเกณฑ์
3.ขั้นการใช้คำถาม
           ผู้สอนสามารถจะใช้คำถามในทุกขั้นตอนของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และอาจจะสร้างคำถามใหม่ที่นอกเหนือจากคำถามที่เตรียมไว้ก็ได้ ทั้งนี้ต้องเหมาะสมกับเนื้อหาสาระและสถานการณ์นั้นๆ
4. ขั้นสรุปและประเมินผล
การสรุปบทเรียนผู้สอนอาจจะใช้คำถามเพื่อการสรุปบทเรียนก็ได้
-การประเมินผล ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผล การเรียนรู้ โดยใช้วิธีการประเมินผลตามสภาพจริง

เทคนิคการจัดการเรียนรู้โดยใช้คำถามเป็นฐาน
 1.ทำบรรยากาศให้ดี เป็นมิตร และปลอดภัย
ระวังบรรยากาศคุกคาม
เริ่มต้นการสอน บอกวิธีการสอน อาจารย์จะใช้การสอนแบบใช้คำถามเพื่อให้ตอบ โดยให้เกียรติผู้เรียน เรียกชื่อนักศึกษาเพื่อสร้างความประทับใจให้นักศึกษาตั้งใจเรียน
ใช้  ASA (Attentive, Smile, Acknowledge) = มองหน้าตั้งใจฟัง ยิ้มน้อยๆ ชมเมื่อตอบถูก (เก่งมากค่ะ ดีมากค่ะ เห็นด้วยค่ะ)
เมื่อตอบผิด - ทำไมคิดอย่างนั้น แก้ concept ที่ถูกต้อง เพื่อให้นักศึกษาคิดใหม่ หาคำตอบที่ดีกว่าและให้กำลังใจสำหรับคำถามคำตอบต่อไป
-ให้ความเข้าใจว่า คำตอบไม่เคยมีคำตอบเดียว อาจมีมากกว่า 1 คำตอบ
-ให้คิดว่า ตอบผิด ดีกว่า ไม่ตอบ
2.เลือกคำถามที่ดีที่ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้
เลือกคำถามปลายเปิด เช่น ทำไม อย่างไร เพราะเหตุใด ให้นักศึกษาคิดคำตอบเอง
แนะแนวการคิด guide โดยใช้คำถามที่นักศึกษาจะต้องนำความรู้พื้นฐาน (Basic Knowledge) มาประยุกต์
3. ใช้เทคนิคให้ดี
ถามชัดเจน ไม่กำกวม เลือกคำถามกว้างๆ ปลายเปิด ---ทำอย่างไร ถามทีละ 1 คำถาม อย่าถามเป็นชุด,
ให้เวลาคิด 10 วินาที เทคนิค Pose – Pause – Pounce ตั้งคำถาม---- รอคำตอบ ---- ถ้าไม่ตอบ ถามระบุค
คำถามที่ควรหลีกเลี่ยง
คำถาม ใช่ ไม่ใช่
คำถามกำกวม
คำถามให้เดา
คำถามชี้นำ

วิธีการตั้งคำถามแบบโซเครติก (Socratic Method)
เป็นวิธีสอนของนักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อโซเครติส วิธีสอนแบบนี้ใช้การตั้งคำถามให้นักเรียนคิดหาคำตอบหรือตอบปัญหาด้วยตนเอง โดยครูจะกระตุ้นให้นักเรียนนึกถึงเรื่องต่างๆ ที่เคยเรียนแล้ว
คำถามของครูจะเป็นแนวทางให้นักเรียนคิดค้นหาความรู้ นักเรียนจะเรียนด้วยการพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อหาคำตอบที่ถูกต้อง และเป็นการเสริมสร้างสติปัญญาให้ทุกคนรู้จักแสดงความคิดเห็น อภิปรายแล้วสรุปความคิดเห็นลงในแนวเดียวกัน วิธีสอนแบบนี้เหมาะสำหรับนักเรียนที่ชอบใช้ความคิดค้นคว้าหาความรู้ในสิ่งต่างๆ
 Socratic questioning มี 6 แบบ
1. Tell me more: ขอความกระจ่าง
2. Probe assumption: ขอข้อสรุป
 3. Reason ขอเหตุผล
4. View point & Perspectives ถามมุมมองแง่อื่นและแนวคิด
5. Implication & Consequence การนำไปใช้และคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น
6. คำถามที่ทำให้เกิดทักษะการคิด เป็นคำถามขั้นสูง

ประโยชน์ของการจัดการเรียนรู้โดยใช้คำถามเป็นฐาน
1. ผู้เรียนกับผู้สอนสื่อความหมายกันได้ดี
2. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. สร้างแรงจูงใจและกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน
4. ช่วยเน้นและทบทวนประเด็นสำคัญของสาระการเรียนรู้ที่เรียน
5. ช่วยในการประเมินผลการเรียนการสอน ให้เข้าใจความสนใจที่แท้จริงของผู้เรียน และวินิจฉัยจุดแข็งจุดอ่อนของผู้เรียนได้
6. ช่วยสร้างลักษณะนิสัยการชอบคิดให้กับผู้เรียน ตลอดจนนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียนตลอดชีวิต





การศึกษาเป็นรายบุคคล

ความหมายของการศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล
กระบวน การศึกษา รายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือหลายคนเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันไปในระยะเวลาหนึ่งโดยใช้เครื่องมือ เทคนิค หรือวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งรายละเอียดของข้อมูลแล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจสภาพผู้ถูกศึกษา สาเหตุของพฤติกรรมตลอดจนข้อเสนอแนะที่เป็นแนวทางการให้ความช่วยเหลือกรณีที่ผู้ศึกษากำลังประสบปัญหา

         ความสำคัญของการศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคลเป็นประโยชน์ต่อครูหรือผู้แนะแนวที่เป็นผู้ศึกษาโดยตรง
1. ช่วยให้ครูหรือผู้แนะแนวได้ทราบรายละเอียด เกี่ยวกับตัวนักเรียนอย่างกว้างขวาง ทำให้รู้จักและเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริง
2. ช่วยให้ครูและผู้แนะแนวเข้าใจถึงสาเหตุและเงื่อนไขต่างๆ ที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นปัญหา ทำให้มองเห็นลู่ทางที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้กับนักเรียนได้อย่างเหมาะสม
3. ช่วยให้ครูและผู้แนะแนวมีความรู้และมีทักษะในการใช้เครื่องมือและกลวิธีต่างๆ ในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับตัวนักเรียน และยังช่วยให้เป็นคนที่มีเหตุผล รู้จักเก็บข้อมูลอย่างมีระบบ รู้จักแก้ปัญหาโดยใช้ข้อมูลที่ได้รวบรวมไว้มาประกอบในการพิจารณาตัดสินใจ

ประโยชน์ต่อนักเรียนที่เป็นผู้ไดรับการศึกษา
1. ช่วยให้นักเรียนได้เกิดความเข้าใจตนเอง ยอมรับความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวเองมีการปรับปรุงตนเอง หรือแก้ไขปัญหาของตน เพื่อช่วยให้มีสภาพชีวิตที่ดีขึ้น
2. ช่วยให้นักเรียนมีกำลังใจและมีความเต็มใจที่จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างมีความหวัง

ประโยชน์ต่อคณะครูและโรงเรียน
1. ช่วยให้ครูรู้จักและเข้าใจนักเรียนของตนดีขึ้น ยินดีให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาให้นักเรียน
2. ช่วยให้โรงเรียนได้ทราบความเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาและความต้องการของตัวเด็ก ทำให้สามารถนำข้อเท็จจริงเหล่านั้นมาใช้ในการปรับปรุงการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมและการใช้บริการด้านต่างๆ แก่นักเรียนได้อย่างเหมาะสม

ประโยชน์ต่อผู้ปกครองของนักเรียนที่ได้รับการศึกษา
1. ช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจเด็กของตนดีขึ้น ทำให้สามารถปฏิบัติต่อบุตรได้อย่างเหมาะสม
2. ช่วยให้ผู้ปกครองเกิดความสบายใจ เพราะตระหนักได้ว่า โรงเรียนมีความตั้งใจและจริงใจในการป้องกัน ช่วยเหลือ แก้ไขและส่งเสริมพัฒนานักเรียน

ลักษณะของการศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล
ในการศึกษารายกรณีนั้น ครูสามารถเลือกนักเรียนได้หลายประเภท ไม่จำเป็นจะต้องเลือกเฉพาะนักเรียนที่มีปัญหาเท่านั้น ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายในการศึกษาของครูว่า ต้องการทราบเรื่องอะไร ครูควรเลือกนักเรียนเพื่อทำการศึกษารายกรณี สามารถจำแนกได้ดังนี้
1) นักเรียนที่ประสบผลสำเร็จในด้านการเรียนดีเยี่ยม
2) นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง เช่น ศิลปะ ดนตรี ฯลฯ
3) นักเรียนที่มีปัญหามาก
4) นักเรียนที่มีความทะเยอทะยานมีกำลังใจเข้มแข็งที่จะเอาชนะอุปสรรค
5) นักเรียนที่เรียนอ่อนไม่สามารถที่จะทำงานในระดับที่เรียนอยู่ได้
6) นักเรียนที่มีพฤติกรรมดีเด่นสมควรเอาเป็นตัวอย่าง
7) นักเรียนที่มีพฤติกรรมปรกติธรรมดาทั่วๆ ไป

ขั้นตอนการศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล
ลำดับขั้นของการทำการศึกษารายกรณี (นิรันดร์ จุลทรัพย์, 2539: 210) มีดังนี้
1) คัดเลือกนักเรียน ที่จะทำการศึกษาโดยทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมของนักเรียนแต่ละคนว่าใครประสบปัญหาด้านใดบ้าง เช่น ปัญหาการเรียน ปัญหาด้านความประพฤติ ปัญหาด้านอารมณ์และสังคม เป็นต้น หรือเป็นนักเรียนที่มีความสามารถพิเศษเป็นที่สนใจของคนส่วนใหญ่ในโรงเรียน ผลการเรียนดีเป็นเยี่ยมเป็นนักกีฬายอดเยี่ยม มีความสามารถสูงทางศิลปะ เป็นต้น
2) รวบรวมข้อมูล เป็นการค้นหารายละเอียดข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวผู้ถูกศึกษาโดยพยายามรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อนำไปวิเคราะห์และวินิจฉัยต่อไป ข้อมูลที่รวบรวมนั้นควรได้มาจากตัวนักเรียนเองหรือผู้เกี่ยวข้องกับนักเรียน เช่น บิดามารดา หรือผู้ปกครอง ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท ครูประจำชั้น ครูประจำวิชา เป็นต้น โดยใช้เครื่องมือ เทคนิคหรือวิธีการต่าง ๆ เช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การใช้แบบสอบถาม การเยี่ยมบ้าน สังคมมิติและแบบทดสอบชนิดต่าง ๆ เป็นต้น
3) วิเคราะห์ข้อมูล เป็นการแยกแยะให้เห็นรายละเอียดของข้อมูลและสภาพของข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เกิดขึ้น
4) วินิจฉัยข้อมูล เป็นการนำผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลมาพิจารณาหาสาเหตุของพฤติกรรมที่เป็นปัญหาหรือพฤติกรรมในทางบวกโดยใช้หลักทฤษฎีทางจิตวิทยามาเป็นพื้นฐานประกอบการพิจารณา การสรุปผลจากการวินิจฉัยในขั้นนี้อาจจะยังไม่ได้ข้อยุติ แต่ก็เป็นแนวทางที่จะนำไปประกอบการสังเคราะห์ข้อเท็จจริงในขั้นต่อไป
5) การสังเคราะห์ เป็นการศึกษาหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อนำข้อมูลที่ได้มารวมกับข้อมูลเดิมที่มีอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยให้ผู้ศึกษาเกิดความมั่นใจในการวิเคราะห์ และวินิจฉัยได้ตรงประเด็นมากยิ่งขึ้น
6) การให้ความช่วยเหลือ เป็นการคิดหาวิธีการต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ให้ความช่วยเหลือและแนะแนวทางในการแก้ปัญหา ตลอดจนช่วยให้นักเรียนสามารถเข้าใจตนเองได้อย่างถูกต้องและปรับตัวให้เข้ากับสภาพการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม สามารถตัดสินใจได้อย่างฉลาดโดยแบ่งวิธีการให้ความช่วยเหลือเป็น 3 วิธีการ คือ
(6.1) การแก้ไข ผู้ศึกษาสามารถใช้วิธีการแก้ไขเพื่อให้ความช่วยเหลือได้ดังนี้
(6.1.1) ให้คำปรึกษาเพื่อให้คลายความกังวลใจโดยให้ผู้รับคำปรึกษาได้เข้าใจในปัญหาจนกระทั่งสามารถหาทางแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
(6.1.2) ส่งให้ผู้มีประสบการณ์หรือผู้เชี่ยวชาญในปัญหานั้น ๆ โดยตรงในกรณีที่ผู้ศึกษาพบว่า ปัญหาต่าง ๆ ที่พบนั้นมีผู้ที่มีความสามารถช่วยเหลือได้อยู่ตรงประเด็นหรือในกรณีที่ผู้ศึกษาขาดความมั่นใจในการให้ความช่วยเหลือในปัญหานั้น ๆ
(6.1.3) ถ้าเป็นปัญหาที่รุนแรงเกี่ยวกับทางด้านจิตใจจนเกิดความสามารถของผู้ศึกษาต้องหาทางส่งต่อ ไปยังจิตแพทย์ หรือผู้มีความชำนาญโดยเฉพาะเพื่อให้ความช่วยเหลือต่อไป
(6.2) การป้องกัน โดยการหาทางป้องกันหรือสกัดกั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ขึ้นในอนาคตโดยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องเหมาะสมแก่ผู้รับการศึกษาเพื่อแนวทางในการปฏิบัติ
(6.3) การส่งเสริม เป็นการช่วยส่งเสริมให้ผู้รับการศึกษามีความสามารถที่จะปรับตัวได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพการณ์ต่าง ๆ เป็นแรงเสริมให้เกิดกำลังใจในการสร้างเสริมสิ่งต่าง ๆ รอบตัวให้ดีขึ้น
7) การติดตามผล เป็นการศึกษาถึงวิธีการต่าง ๆ ที่ได้ให้ความช่วยเหลือแล้วนั้นว่าได้ผลประการใด มีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใดมีสิ่งที่ควรต้องปรับปรุงแก้ไขหรือเพิ่มเติมอะไรบ้าง

การรายงานการศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล
การศึกษาในการเขียนรายงานการศึกษารายกรณี ควรเขียนให้มีรายละเอียดมากพอที่จะช่วยให้เข้าใจได้เป็นอย่างดี ซึ่งการเขียนนั้นไม่มีแบบแผนที่ตายตัวอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง ตามลักษณะของปัญหาทั้งนี้ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้ศึกษา ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไป ควรประกอบด้วยหัวข้อต่าง ๆ ที่สำคัญ (นิรันดร์ จุลทรัพย์, 2539: 213) ดังนี้
(1) ชื่อ – สกุลผู้รับการศึกษา
(2) สาเหตุที่ศึกษา
(3) วันเริ่มต้นและสิ้นสุดการศึกษา รวมระยะเวลาที่ใช้ศึกษา
(4) ลักษณะของปัญหาที่สำคัญ/ลักษณะเด่นที่สำคัญ
(5) ข้อมูลเกี่ยวกับผู้รับการศึกษา
(5.1) ลักษณะทั่วไป
(5.2) ประวัติส่วนตัว
(5.3) ประวัติครอบครัว
(5.4) ประวัติทางด้านการศึกษาและผลการเรียน
(5.5) ประวัติสุขภาพ
(5.6) ประวัติด้านสังคม
(5.7) ประสบการณ์การทำงานและงานอดิเรก
(5.8) ความใฝ่ฝันในอนาคต
(5.9) เจตคติที่มีต่อตนเอง
(5.10) เจตคติที่มีต่อครอบครัว
(5.11) เจตคติที่มีต่อสถานศึกษา
(5.12) เจตคติที่มีต่อสังคม
(6) เทคนิค เครื่องมือหรือวิธีการที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลมีกี่อย่าง อะไรบ้าง
(7) สรุปข้อมูลที่ได้จากการรวมข้อมูลด้วยเทคนิค เครื่องมือหรือวิธีการต่าง ๆ พร้อมทั้งตีความหมายจากข้อมูล
(8) การสรุปผลและข้อเสนอแนะ
(9) ภาคผนวก (แนบเทคนิค เครื่องมือ หรือวิธีการที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลพร้อมทั้งเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการศึกษา)

ตัวอย่างการเขียนรายงานการศึกษารายกรณี
(สำหรับผู้ที่กำลังประสบปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ)
ชื่อผู้รับการศึกษา นายสันติ บำรุงจิต (นามสมมุติ)
สาเหตุที่ศึกษา
                เนื่องจากนายสันติ ชอบมาเล่าปัญหาต่าง ๆ ทางครอบครัวให้ผู้ศึกษาฟังเสมอ เวลาเรียนชอบนั่งเหมอลอย ไม่สนใจเรียน ผลการเรียนไม่ดี ชอบบ่นว่า เบื่อบ้าน อยากไปอยู่หอพัก ผู้ศึกษาจึงสนใจที่จะศึกษาเพื่อช่วยแก้ปัญหาเท่าที่คิดว่าจะช่วยได้
วันเริ่มต้นและระยะเวลาที่ศึกษา
                วันที่ 15 มิถุนายน ถึงวันที่ 30 กันยายน 2537 รวมเวลา 3 เดือน 15 วัน
ลักษณะของปัญหาที่สำคัญ
                จากการสังเกตและพูดคุย ผู้ศึกษาตั้งสมมุติฐานว่า สันติมีปัญหาสำคัญ ดังนี้
                1) ปัญหาทางครอบครัว เพราะสันติมักจะพูดว่าเบื่อบ้านไม่อยากอยู่บ้าน
                2) ปัญหาด้านการเรียน เพราะผลการเรียนไม่ดีได้คะแนนอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ
ข้อมูลที่ได้จากผู้รับการศึกษา
                1) ลักษณะทั่วไป
ชายไทย ผิวค่อนข้างคล้ำ ผมหยิก นัยน์ตาสีดำ 2 ชั้น จมูกค่อนข้างโด่ง ใบหน้ารูปเหลี่ยม ผมตัดสั้น ส่วนแว่นตา (สายตาสั้น) ท่าทางสุภาพ เคร่งขรึม แต่งกายสะอาดเรียบร้อย พูดค่อนข้างช้า รูปร่างท้วม     
                2) ประวัติส่วนตัว
                สันติอายุ 20 ปี เกิดวันที่ 13 มกราคม 2517 ที่ตำบลฉลุง อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เป็นนิสิตชั้นปีที่ 2 ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย นับถือศาสนาพุทธ
                ปัจจุบันพักอยู่บ้านเลขที่ 37/1 หมู่บ้านทักษิณเมืองทอง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
                3) ประวัติครอบครัว
                บิดาชื่อร้อยเอกภาคภูมิ บำรุงจิต อายุ 47 ปี จบปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์บัณฑิต (วท.บ.) รับราชการทหาร รายได้เดือนละประมาณ 19,000 บาท
               มารดาชื่อนางสาวิตรี บำรุงจิต อายุ 47 ปี จบปริญญาตรีการศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.) รับราชการครูในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่ง รายได้เดือนละประมาณ 15,000 บาท
                ปัจจุบันบิดาและมารดาแยกทางกันอยู่ โดยบิดามีภรรยาใหม่และมีลูกใหม่อีก 3 คน สำหรับพี่น้องร่วมบิดามารดาของสันติทั้งหมด 3 คน โดยสันติเป็นคนกลางและเป็นลูกชายคนเดียว รายละเอียดสำหรับพี่น้อง มีดังนี้
              พี่สาวคนโตชื่อ สุกัญญา บำรุงจิต อายุ 22 ปี กำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับสันติ ชั้นปีที่ 4

              น้องสาวคนเล็กชื่อ สุนันทา บำรุงจิต อายุ 14 ปี กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนที่มารดาสอนอยู่
                บุตรทั้งสามคนนี้อยู่กับมารดาทั้งหมดในบ้านสันติมีสมาชิกอยู่ร่วมกันทั้งหมด 6 คนคือ
                (1) มารดาของสันติ
                (2) น้าชายอายุ 30 ปี ยังไม่มีครอบครัวจบปริญญาตรีทางวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิตปัจจุบันมีอาชีพเป็นวิศวกร
                (3) พี่สาว
                (4) ตัวสันติเอง
                (5) น้องสาว
                (6) หลานชายอายุ 9 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 4
                ความสัมพันธ์ของสมาชิกภายในครอบครัวไม่ค่อยราบรื่นเท่าที่ควร มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่เสมอ มารดาเป็นคนขี้บ่น พี่สาวเป็นคนขี้อิจฉาชอบนำเรื่องของสันติไปฟ้องมารดาเสมอ ๆ ทำให้สันติไม่อยากกลับบ้าน ชอบทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัย กลับบ้านดึก ๆ แทบทุกวัน
                สันติได้รับค่าใช้จ่ายเป็นค่าอาหารกลางวัน ค่าเดินทางและค่าอุปกรณ์การเรียนเดือนละ 1,000 บาท โดยเสียค่ารถวันละ 12 บาท สันติบ่นว่าเงินไม่ค่อยพ่อใช้จ่ายต้องขอเพิ่มทุกเดือนหรือขอยืมเพื่อนเป็นประจำ แต่จากการสังเกตของผู้ศึกษาพบว่า สันติใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย สูบบุหรี่ยี่ห้อต่างประเทศบางครั้งก็ดื่มเหล้าเงินจึงไม่พอใช้
               
                 4) ประวัติด้านการศึกษา
                สันติเริ่มเข้าเรียนชั้นปฐมวัยที่จังหวัดสตูลโดยเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนประจำตำบลฉลุง แล้วย้ายไปเรียนชั้นประถมปีที่ 5 และประถมปีที่ 6 ที่โรงเรียนอนุบาลประจำจังหวัดสตูล ต่อมาได้สอบเข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา โดยเรียนสายสามัญซึ่งมารดาต้องการให้เรียนสายอาชีพมากว่า
                 5) ประวัติด้านสุขภาพ
                สันติเป็นคนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงรูปร่างค่อนข้างท้วม ส่วนสูง 165 เซนติเมตร น้ำหนัก 70 กิโลกรัม สายตาสั้น ต้องสวมแว่นตลอดเวลาไม่เคยเจ็บป่วยร้ายแรงใด ๆ
                6) ประวัติด้านสังคม
                สันติเป็นคนเงียบขรึม ใจน้อย โกรธง่ายแต่หายเร็ว ชอบอยู่คนเดียวเงียบ ๆ ชอบทำงานเป็นกลุ่ม แต่ไม่ค่อยช่วยคนอื่นทำ มีเพื่อสนิทน้อยแต่ชอบร่วมกิจกรรมกับเพื่อน ๆ ชอบอยู่กับเพื่อน ๆ มากกว่าอยู่กับครอบครัว
                7) การใช้เวลาว่างหรืองานอดิเรก
                ชอบเล่นกีฬาที่ชอบและถนัดมากที่สุดคือเทเบิลเทนนิส นอกจากนี้ก็มีเปตอง ชอบถ่ายภาพ ปลูกต้นไม้
                8) ความใฝ่ฝันในอนาคต
                อยากมีงานทำเพื่อหาเลี้ยงตนเองได้โดยเร็ว ปัจจุบันอยากเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย
                9) เจตคติที่มีต่อตนเอง
                สันติคิดว่าตนเองมีความสามารถทางเชาวน์ปัญญาสูง
                10) เจตคติที่มีต่อครอบครัว
                สันติมีเจตคติที่ดีต่อบิดา เขารักบิดามากกว่ามารดา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกับบิดามากนักเพราะบิดาและมารดาแยกกันอยู่คนละบ้านและบิดาต้องปฏิบัติราชการต่างจังหวัด ถ้าเขารู้ว่าบิดาจะไปที่บ้านวันใด เขาก็จะรีบกลับบ้านทันทีไม่ว่าเขาจะมีธุระอะไรก็ตามแต่ถ้าเขากลับไปไม่พบบิดา เขามักจะแสดงความไม่พอใจออกมา
                สำหรับมารดา เขาจะมีความรู้สึกเฉย ๆ เพราะมารดาชอบบ่นตลอดเวลา นอกจากนี้กับบุคคลอื่นในบ้าน เขาจะมีเจตคติไม่ดีต่อพี่สาวเพราะพี่สาวเป็นคนขี้อิจฉา ชอบฟ้องมารดาและชอบทะเลาะกับเขาเสมอ
                โดยสรุปสันติมีเจตคติที่ไม่ดีต่อครอบครัว
                11) เจตคติที่มีต่อโรงเรียน
                สันติมีเจตคติที่ดีต่อโรงเรียนเห็นว่าโรงเรียนเป็นแหล่งที่ให้ความรู้ความอบอุ่น ร่มเย็นให้ความสบายใจ มีเพื่อนเล่น เพื่อนคุยเพื่อนเที่ยวทำให้เกิดความสนุกสนานเฮฮา สบายใจกว่าอยู่ที่บ้าน
                12) เจตคติที่มีต่อสังคม
                สันติมีเจตคติที่มีต่อสังคมว่า สังคมโดยทั่วไปมีทั้งคนดีและคนไม่ดีอยู่ในสังคมปะปนกันไป

เทคนิควิธีการที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล
                เทคนิคและวิธีการที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมี 8 ชนิด คือ
                (1) การสังเกตและบันทึกการสังเกต
                (2) การสัมภาษณ์
                (3) การเยี่ยมบ้าน
                (4) อัตชีวประวัติ
                (5) แบบสอบถาม
                (6) สังคมมิติ
                (7) แบบทดสอบ
                (8) ระเบียนสะสม



การจัดการเรียนการสอนที่ใช้เทคโนโลยี
แนวคิดการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ ICT
ปัญหาการจัดการเรียนการสอนในอดีตที่ผ่านมาและมักกล่าวถึงอยู่จนทุกวันนี้ คือ
– ครูไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการสอน
– ขาดครูเฉพาะวิชา
– ขาดสื่อ อุปกรณ์การสอน
ที่มาของโรงเรียนในฝันคือการปฏิรูปการเรียนการสอนที่ต้องใช้ ICT เข้าช่วยโดยเฉพาะเข้าช่วย ในเรื่องปรับพฤติกรรมการสอนและแก้ปัญหาการขาดสื่อการเรียนการสอนสำหรับปัญหาการขาดครูเฉพาะวิชานั้น เป็นปัญหาระดับชาติที่ต้องรอรัฐบาลที่มองเห็นพิษภัยต่อการจัดการศึกษาที่เนื่องมาจากการขาดครูเฉพาะวิชา และใช้สติปัญญาของผู้รับผิดชอบโรงเรียนในฝัน ที่จะหาช่องทางให้ครูเฉพาะวิชาที่มีอยู่ในโรงเรียนอยู่แล้วเป็นครูของเขตพื้นที่ของจังหวัด ของเขตตรวจราชการและของประเทศที่มีความรู้ความสามารถในการใช้ ICT เพื่อการเรียนการสอนอย่างครูมืออาชีพ และฝ่ายบริหารของโรงเรียนสามารถสนับสนุนส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนที่ใช้ ICT ได้อย่างมืออาชีพ
การเข้าถึงการใช้ ICT เพื่อการเรียนการสอนของโรงเรียนมี 4 ระยะ (Approach)ได้แก่ สัมผัส (Emerging) ประยุกต์ใช้ (Applying) แพร่ขยาย (Infusing) เปลี่ยนร่างแปลงรูป (Transforming)
         1. ระยะสัมผัส ได้แก่ การเริ่มต้นการนำ ICT เข้าใช้ ด้วยการซื้อหา รับบริจาค ทั้งตัวคอมพิวเตอร์และซอล์ฟแวร์ ในขั้นนี้ ทั้งผู้บริหารและครูเริ่มต้นค้นหาความเป็นไปได้ในการใช้ ICTในการบริหาร และการใช้หลักสูตร
          2. ระยะประยุกต์ โรงเรียนใดที่มีความประทับใจใน ICT ก็ถือว่าได้เริ่มต้นเข้าสู่วิธีนี้ ครูใช้ ICT ในการทำงานประจำวัน ครูปรับหลักสูตร เพื่อเพิ่มการใช้ ICT ในการสอนการเรียนในแต่ละรายวิชา แต่ครูยังคงเป็นผู้มีอำนาจ (dominate) ในกระบวนการเรียน
          3. ระยะแพร่ขยาย มีการนำคอมพิวเตอร์ไปใช้ในห้องทดลอง ห้องเรียน ครูค้นหาวิธีใหม่ที่จะใช้ ICT เพื่อการเปลี่ยนแปลงผลผลิตของตนให้มีคุณภาพ และแสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพยิ่งขึ้นหลักสูตรเริ่มบูรณาการ เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ในโลกของความเป็นจริง
          4. ระยะเปลี่ยนร่างแปลงรูป ในระยะนี้ ICT ถูกบูรณาการเข้าไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมืออาชีพ ช่วยเพิ่มผลผลิตส่วนบุคคล หลักสูตรจึงเป็นหลักสูตรที่ใช้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง (ChildCentered) มีการบูรณาการเรียนการสอนที่นำไปสู่การประยุกต์ใช้จริง

หลักการแนวคิดกระบวนการจัดการเรียนการสอน
1. กระบวนทัศน์เก่า-ใหม่                                                  
                 การใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในการจัดการศึกษาในปัจจุบันได้การจัดการศึกษาในปัจจุบัน
2. การสร้างสภาพแวดล้อมที่ใช้ ICT                                                                       
                เป็นฐานการจัดการเรียนรู้ (Web Based Environment) วารสารนาๆ ชาติ CEEOL (Informatics Education – an International Journal, Issue Vol5/2006อ้างใน http://ceeol.com) รายงานว่า รูปแบบ การสอนของครู และการเรียนรู้ของนักเรียน ที่ไม่สอดคล้องต้องกันมีผลให้นักเรียนเครียดไปจนถึงล้มเหลวในการเรียนรู้ของนักเรียน ความสมดุล ระหว่างรูปแบบการสอนของครูและการเรียนของนักเรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อมีการเน้นกระบวนการเรียนรู้เป็นรายบุคคล การเรียนโดยใช้ ICTเป็นฐาน จึงเป็นโอกาสที่ดี ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนมีทางเลือกในการเรียนรู้ได้หลายทาง จากการศึกษาพบว่า นักเรียนมีหลายประเภท แต่ละประเภท เรียนรู้ และรับประการณ์ต่างๆ ต่างกัน แต่ผลการเรียนรู้ไม่ต่างกัน เพื่อตอบสนองการเรียนรู้ที่ต่างกัน จึงมีการพัฒนาระบบสารสนเทศสำหรับการเรียนรู้ของนักเรียน
3. การเรียนรู้ โดยไม่มีการสอน
ในชีวิตจริงมีการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการอยากเรียนอยากรู้ด้วยตนเองในสิ่งที่ตนเองอยากรู้อยากเรียนมากมายจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ทั้งจากหนังสือเอกสาร ตำรา บุคคล สถานที่ หากรู้ความต้องการที่แท้จริงของนักเรียนทั้งความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระตามหลักสูตรโดยตรง หรือมีส่วนเกี่ยวข้อง แล้วจัดหนังสือ ตำรา หรือแหล่งเรียนรู้ ทั้งที่เป็นสถานที่ บุคคล ตลอดจนระบบอินเตอร์เน็ตไว้พร้อมบริการได้เสมอ ก็จะช่วยให้ นักเรียนเรียนรู้ได้โดยไม่ต้อง หรือ สอนแบบพบปะ กันในห้องเรียนน้อยลง
4. หลักการสำคัญของแนวคิดนี้ คือ
1) ครูเป็นผู้นำส่งข้อมูลใหม่ๆ กระตุ้นให้นักเรียนทำงาน เรียนรู้จากแหล่ง เรียนรู้ ที่กำหนดไว้
2) การให้ความรู้ที่นักเรียนต้องการจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนเรียนรู้ให้เกิดการคิดได้ดี
กว่าการให้ความรู้ในสิ่งที่ครูต้องการ
3) นักเรียนเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ฟัง เป็นผู้ลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิด การเรียนรู้ด้วยตนเอง
4) การใช้เวลาในการทำงาน หรืออ่าน ในสิ่งที่สนใจ จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ดีกว่าการฟังครูพูด
5. การใช้งานเป็นฐานการเรียนรู้ (Task Based Learning)
เรียนรู้โดยใช้งานเป็นฐาน คือ การนำงานมาเป็นศูนย์กลาง หรือเป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาโดย N Prabhu จากประเทศอินเดีย ที่เกิดขึ้นจากแนวความคิดที่ว่านักเรียนจะเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพหากจิตใจแน่วแน่อยู่ที่งานที่ทำ มากกว่าที่จะแน่วแน่อยู่ที่ภาษาที่ใช้แบบแผนการใช้งานเป็นฐานนี้ Jane Willisได้ให้หลักการ PPP ซึ่งหมายถึง presentation, practice,production ที่นักเรียนจะเริ่มต้นด้วยการทำงาน เมื่อทำเสร็จแล้ว ครูจะชักนำสู่การแก้ไข ปรับแต่งในสิ่งที่นักเรียนแสดงออกมา Jane Willis ได้เสนอกรอบแนวคิดเชิงกระบวนการไว้ 3 ประการ ได้แก่
• นำเข้าสู่บทเรียนโดยหัวข้อเนื้อหาสาระ และงานที่จะมอบหมายให้ทำ
• วางแผน ทำงาน และรายงานผล
• เน้นย้ำที่การใช้ภาษา วิเคราะห์ และฝึกปฏิบัติ (Analysis and practice)
6. รูปแบบการสอน โดยใช้ ICT
เนื่องจากเว็บไซต์ เป็นอภิมหาอาณาจักร สำหรับการเรียนรู้ทั้งปวง ที่จะเลือกเนื้อหาสาระทางปัญญา ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่แต่ละคนรัก ชอบที่จะคิด จะทำ มาใช้ในการคิดการทำให้ดีขึ้นการใช้เว็บไซต์ให้เป็นประโยชน์ในชีวิตจริงจนกลายเป็นแบบอย่างในระดับโรงเรียน หรือชุมชน ก็จะมีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน อย่างไร ก็ดี ก็อาจจะมีข้อจำกัดในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษแต่สำหรับบางคนจะไม่มีข้อจำกัดเลยสำหรับ หากมีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษอยู่บ้าง และอยากคิดอยากทำในสิ่งที่ตนเองรัก ชอบ ให้ดีขึ้น
6.1 รูปแบบที่ใช้ในการค้นคว้าของ ICT
เป็นการกำหนดแหล่งความรู้ภายนอกที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนโดยกำหนดด้วยสิ่งนำทางการค้นคว้า เช่น แหล่งความรู้ภายนอกที่กำหนดอย่างเป็นลำดับ กล่าวคือมีการศึกษาก่อนหลัง มีความยากง่ายเป็นลำดับมีการจัดเรียน หัวข้อตามลำดับ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนไม่หลงทาง และเรียนรู้ไปตามลำดับขั้นตอน
• เวิล์ดไวด์เว็บ (World Wide Web) ใช้สำหรับเป็นแหล่งความรู้ฐาน และเป็นแหล่งความรู้ภายนอกเพื่อการสืบค้น
• อีเมล์ (E-mail) ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างอาจารย์หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยกันใช้ส่วนการบ้านหรืองานที่ได้รับมอบหมาย
• กระดานข่าว (web board) ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียนเป็นกลุ่ม ใช้กำหนดประเด็นหรือกระทู้ตามที่อาจารย์กำหนด หรือตามแต่นักเรียนกำหนด เพื่อช่วยกันอภิปรายตอบคำถามในประเด็นที่เป็นกระทู้นั้น ๆ
• แชท (Chat) ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์และผู้เรียน โดยการสนทนาแบบเวลาจริง
(Real time)โดยมีทั้งสนทนาด้วยตัวอักษรและสนทนาทางเสียง (Voice Chat) ลักษณะใช้คือใช้สนทนาระหว่างผู้เรียนและอาจารย์ ใน ห้องเรียนหรือชั่วโมงเรียนเสมือนว่ากำลังเรียนอยู่ในห้องเรียนจริงๆ
• ไอซีคิว (ICQ) ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์และผู้เรียนโดยการสนทนาแบบเวลาจริง หรือหลังจากนั้นแล้วโดยเก็บข้อความ ไว้ การสนทนาระหว่างผู้เรียนและอาจารย์ในห้องเรียนเสมือน ว่ากำลังคุยกันในห้องเรียนจริงๆ และ บางครั้งผู้เรียนก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเวลานั้นๆ ไอซีคิวจะเก็บข้อความไว้ให้และ
ยังทราบด้วยว่าในขณะนั้นผู้เรียนอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไม่
• คอนเฟอเรนซ์ (Conference) ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียนแบบ เวลาจริง โดยที่ผู้เรียนและอาจารย์สามารถเห็นหน้ากันได้โดยผ่านทางกล้องโทรทัศน์ที่ติดอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งสองฝ่ายใช้บรรยายให้ผู้เรียนกับที่อยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนว่ากำลังเรียนอยู่ในห้องเรียนจริงๆ
• การบ้านอิเล็กทรอนิกส์ ใช้สำหรับติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์เป็นเสมือนสมุดประจำตัวนักเรียน โดยที่นักเรียนไม่ต้องถือสมุดการบ้านจริงๆ และใช้ส่งงานตามที่อาจารย์กำหนด เช่น ให้เรียนรายงานโดยที่อาจารย์สามารถเปิดดูการบ้านอิเล็กทรอนิกส์ของนักเรียนและเขียนบันทึกเพื่อตรวจงาน และให้คะแนนได้แต่นักเรียนจะเปิดดูไม่ได้

สรุป
การเรียนรู้ในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะห้องเรียนและครู การเรียนการสอนแบบดั้งเดิมจะ ลดน้อยลง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอนเปลี่ยนไป เกิดเป็นกระบวนการเรียนรู้แบบใหม่ จึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันพัฒนาองค์ความรู้ใหม่จากองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่ เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
การที่จะนำระบบ ICT มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนนั้น ไม่ไกลดังที่เราได้คาดหวังแต่สามารถใช้ให้เกิดเป็นรูปธรรมได้ โดยได้รับความร่วมมือในหลายๆด้าน เพื่อให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษาในยุคปัจจุบัน ที่กำลังก้าวเข้าสู่อนาคต หรือที่เราเรียกกันว่ายุคสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)



วิธีการสอนแบบอภิปราย
ความหมาย
วิธีสอนแบบอภิปราย หมายถึง การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการสนทนาเพื่อช่วยในการแก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างครูกับนักเรียน หรือระหว่างนักเรียนกับนักเรียนโดยมีครูเป็นผู้ประสานงาน แทนที่ครูจะเป็นฝ่ายตั้งปัญหาคอยถามเด็ก ครูต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามบ้างและให้นักเรียนมีส่วนช่วยตอบด้วย คือ ได้คิด ได้ทำ ได้แก้ปัญหา วิธีการสอนนี้จะช่วยส่งเสริมให้เด็กคิดเป็น พูดเป็น และยังเป็นการส่งเสริมให้มีการอยู่ร่วมกันแบบประชาธิปไตย เป็นการพัฒนาผู้เรียนทางด้านความรู้ และการทำงานเป็นกลุ่มด้วย

ความมุ่งหมาย
1.เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น เป็นการพัฒนาทักษะใน ด้านการคิด และการพูด
2.เพื่อฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของสมาชิกในกลุ่มด้วย
3.เพื่อฝึกการค้นคว้าหาความรู้ เพื่อนำมาอธิบายกับเพื่อนๆ และอาจารย์

ชนิดของการอภิปราย
การอภิปรายมีหลายรูปแบบ ในการสอนผู้สอนควรพิจารณาเลือกใช้รูปแบบการอภิปรายต่าง ๆ กันไป ตามความเหมาะสมกับหัวข้อและเนื้อเรื่อง การอภิปรายนอกจากให้ความรู้ความคิดแล้ว ยังทำให้
1)ผู้เรียนมีความรู้เรื่องรูปแบบของการอภิปราย
2)ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึง
3)ผู้เรียนสนุกสนานไม่เบื่อหน่าย
4)ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ได้
รูปแบบการอภิปรายมีหลายอย่าง เช่น

การอภิปรายแบบแพนแนล  (Pamel Discussion)
การอภิปรายแบบนี้ ประกอบด้วยกลุ่มของผู้อภิปราย ประมาณ 2-6 คน มีผู้นำอภิปราย 1 คน   คนอื่น ๆ เป็นผู้ร่วมอภิปราย การจัดที่อภิปรายจะจัดให้ผู้อภิปรายหันหน้าไปทางผู้ฟัง จะจัดเป็นรูปครึ่งวงกลม หรือจัดเป็นแนวตรงก็ได้ ผู้นำการอภิปรายเป็นผู้กล่าวนำ กล่าวแนะนำผู้ร่วมอภิปราย หัวข้ออภิปราย เชิญผู้ร่วมอภิปรายแสดงความคิดเห็นตามหัวข้อหรือประเด็นที่เสนอไว้เมื่อผู้ร่วมอภิปรายพูดอภิปรายหัวข้อต่างๆ หมดครบถ้วนทุกคนแล้วก็เปิดโอกาสให้ผู้ฟังการอภิปรายซักถามปัญหาต่าง ๆ โดยผู้นำการอภิปรายมอบให้ผู้ร่วมอภิปรายตอบปัญหาตามความเหมาะสม เมื่อเวลาสมควรก็ปิดการอภิปราย
การอภิปรายแบบซิมโพเซียม  (Symposlum)
การอภิปรายแบบนี้ ประกอบด้วยผู้ร่วมอภิปรายประมาณ 2-4 คน มีผู้นำการอภิปราย
1 คน ผู้ร่วมอภิปรายได้รับมอบหมายหัวข้อที่จะต้อพูด และจัดเตรียมมาล่วงหน้า ผู้ร่วมอภิปรายจึงพุดเฉพาะเรื่องที่ตนเตรียมมา ซึ่งมักเป็นหัวข้อที่จนเองมีความชำนาญหรือมีความรู้ดี ตอนท้ายให้ผู้ฟังซึกถามปัญหาเพิ่มเติมตามสมควร
การอภิปรายแบบระดมสมอง (Brain storming)
การอภิปรายแบบนี้จะใช้ได้ผลดีในการให้ผู้เรียนแก้ปัญหาร่วมกันเป็นการอภิปรายใน
ประเด็นหัวข้อต่างๆ ผู้ร่วมกลุ่มทุกคนมีส่วนร่วมในการอภิปรายแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่
การจัดกลุ่มอภิปรายแบบระดมสมอง แต่ละกลุ่มจึงควรมีผู้ร่วมอภิปรายไม่เกิน 12 คน ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมอภิปรายได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ และทั่วถึงมากในหัวข้อที่อภิปราย
การอภิปรายแบบโต้วาที
เป็นการอภิปรายที่ต้องใช้ความรู้ปฏิภาณ ไหวพริบในการแสดงความคิดเห็นแต่ความ  รู้ความคิดหลายๆ อย่างของผู้อภิปราย บางครั้งอาจไม่อยู่บนพื้นฐานของเหตุผลและความเป็นจริงมากนัก
การอภิปรายแบบโต้วาที แบ่งผู้อภิปรายออกเป็น 2 ฝ่าย คือ
(1) ฝ่ายเสนอ                (2) ฝ่ายค้าน
การจัดโต้วาทีประกอบด้วย
ญัตติ      คือ       เรื่องที่อภิปรายโต้แย้งกัน
ผู้โต้       คือ            ซึ่งมีทั้งฝ่ายเสนอและฝ่ายค้าน
ประธาน  คือ       เป็นผู้กล่าวนำญัตติ แนะนำผู้โต้วาทีทั้ง 2 ฝ่าย แนะนำ
ระเบียบข้อกำหนดต่างๆ กล่าวเชิญผู้โต้วาทแต่ละคนตามลำดับ สลับกันไป ระหว่างฝ่ายเสนอและฝ่ายค้าน
และเป็นผู้ประกาศผลการตัดสิน
กรรมการ   คือ      เป็นผู้พิจารณาผลการโต้วาที เพื่อเสนอประธานประกาศ
ผลผู้เป็นกรรมการจึงต้องมีความรู้ ความคิดกว้างขวางในเรื่องที่อภิปรายโต้วาทีกัน

การสอนแบบอภิปรายกลุ่ม
การอภิปรายแบบกว้างๆ ได้ 2 ประเภท ถือการอภิปรายกลุ่มย่อยกับการอภิปราย
กลุ่มใหญ่
การอภิปรายกลุ่มย่อยจะทำให้ได้ผลดี เมื่อสมาชิกในกลุ่มประมาณ 4-8 คน หรือ
อย่างมาก ไม่ควรเกิน 12 คน ส่วนจะใช้วิธีการอภิปรายแบบไหนนั้นก็แล้วแต่จะพิจารณาตามความเหมาะสมกับจุดประสงค์ เนื้อเรื่อง และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ

ขั้นตอนการสอนด้วยวิธีอภิปราย
1)เรื่องที่จะอภิปราย
(1)ปัญหาที่เกิดจากการซักถามของผู้เรียน
(2)ปัญหาที่เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ เป็นปัญหาหรือประเด็นที่น่าสนใจ
ควรค้นคว้านำมาอภิปรายร่วมกัน
(3)ปัญหาที่เกิดจากความบกพร่อง ผิดพลาด ที่ควรพิจารณาแก้ไขร่วมกัน
(4)ปัญหาของสังคม ปัญหาจากสิ่งแวดล้อมและสื่อสารมวลชนทั่วไป
(5)ครูเสนอปัญหาให้ผู้เรียนคิด
(6)จัดประสบการณ์หรือสภาพแวดล้อมให้ผู้เรียนคิด เกิดปัญหาควรแก่การศึกษา
(7)กำหนดแบบฝึกหัด หรืองานให้ผู้เรียนทำ
2)การเตรียมผู้ฟัง
(1)ผู้ฟังต้อเข้าใจประเด็น หรือปัญหาเรื่องที่อภิปราย
(2)ผู้ฟังต้องเข้าใจมรรยาทในการฟัง
(3)ผู้ฟังต้องเข้าใจมรรยาทในการพูด
(4)ผู้ฟังต้องรู้วิธีการสรุปประเด็น และจดบันทึก
3)การเตรียมการอภิปราย
(1)จะพิจารณา ใช้กลุ่มอภิปรายแบบไหน เมื่อเป็นเรื่องที่ผู้เรียนทั้งชั้นจะต้องอภิปรายร่วมกัน เนื่องจากเป็นเรื่องที่ทุกคนในใจร่วมกัน และทุกคนได้ค้นคว้ากันมาก็ควรใช้การอภิปรายกลุ่มใหญ่ แต่ถ้าเป็นเรื่องหัวข้อย่อยซึ่งสมาชิกกลุ่มย่อยไปค้นคว้ามาอภิปราย ก็ควรใช้กลุ่มย่อย
(2)ให้เวลาแก่ผู้อภิปรายเพียงพอในการพูด และเหลือเวลาให้ผู้ฟังอภิปรายซึกถาม แบ่งประเด็นในการอภิปรายให้เหมาะสมกับเวลาในอันที่จะสรุปทำความเข้าใจ
(3)อภิปรายทำความเข้าในหัวข้อที่จะอภิปรายให้ชัดเจน ทั้งแก้ผู้อภิปรายและผู้ฟัง    ทั้งชั้น
(4)สำรวจดูสิ่งแวดล้อม และอุปกรณ์ในการดำเนินการอภิปราย การจัดสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญในอันที่จะทำให้การอภิปรายได้ผลดีขึ้น จัดที่นั่งให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินการอภิปรายทั่วถึงกัน
(5)ศึกษาวิธีการจัดที่นั่งให้เหมาะสมกับแบบของการอภิปรายและผู้ฟัง
(6)จัดเตรียมพิจารณาถึงการใช้แสง หรือใช้เครื่องมือโสตทัศนูปกรณ์และการใช้กระดานดำ
7)บทบาทของผู้นำอภิปรายเป็นผู้ดึงความคิดเห็น ปฏิสัมพันธ์และข้อมูลต่างๆ จากผู้ร่วมอภิปรายและผู้ฟัง กระตุ้นให้สมาชิกพูดตรงประเด็นให้ทุกคนมีโอกาสพูดโดยทั่วถึงกัน

สิ่งที่ผู้นำ อภิปรายทำ
(1)      ให้สมาชิกมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
(2)      กระตุ้นให้สมาชิกแสดงความคิดเห็น
(3)      เป็นกลางและเป็นผู้กำหนดให้ผู้อื่นพูด
(4)      ให้สมาชิกมีโอกาสพูดโดยทั่วถึงกัน มิให้คนใดคนหนึ่งพูดมากเกินไป
(5)      นำการอภิปรายให้ตรงประเด็น สัมพันธ์กับเรื่องที่ต้องการ
(6)      สรุปการอภิปราย

บทบาทของสมาชิก
(1)      รับฟังและเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น
(2)      ยอมรับในสิทะของผู้อื่นในการพูด
(3)      ยอมรับว่า การพูดหรือการอภิปรายใดๆ ก็ตาม เป็นการอภิปรายเพื่อหาข้อเท็จจริง มิใช่เพื่อเอาความคิดเห็นของใครไปบังคับคนอื่น

บทบาทของผู้สอน
ก.การอภิปรายกลุ่มย่อย
(1)ผู้สอนช่วยเหลือผู้อภิปรายในการกำหนดสิ่งที่จะอภิปราย
(2)เตรียมสมาชิกทีเป็นผู้ร่วมอภิปรายให้เข้าใจบทบาทหน้าที่ วิธีการ และระเบียบต่างๆ
(3)ช่วยเหลือแนะนำในกากรหาข้อมูล การจัดกระบวนการอภิปราย
(4)ช่วยเหลือแนะนำให้ทุกคนเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี
(5)ประเมินผลการอภิปรายนำผลอภิปรายมาหาวิธีปรับปรุงแก้ไขในส่วนที่บกพร่อง และส่งเสริมสนับสนุนในสิ่งที่ดี
ข.การอภิปรายกลุ่มใหญ่
(1)ผู้สอนร่วมอภิปรายหรือเป็นผู้นำอภิปรายเอง เมื่อจำเป็นในอันที่จะได้เกิดผลดีแก่การเรียนรู้
(2)ไม่ควรปล่อยให้ผู้เรียนวางแผนการอภิปรายเองตามลำพัง ให้ผู้เรียนวางแผนมาเสนอผู้สอน เพื่อให้คำแนะนำในการปรับปรุงแก้ไข
(3)ผู้สอนคอยดูแลให้ความช่วยเหลือแนะนำตามความจำเป็น ไม่สมควรอย่างยิ่งที่ผู้สอนจะบังคับให้ผู้เรียนยอมคิดพิจารณาปรับปรุงงานของตนเอง
(4)ให้ผู้เรียนทุกคนรู้จักพูดแสดงความคิดเห็นของตน
(5)ให้อิสระแก่ผู้เรียนมากยิ่งขึ้น เมื่อเห็นว่าผู้เรียนทำได้ดีขึ้น

การประเมินผล ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการประเมินผลด้วย
(1)ประเมินผลหัวข้ออภิปราย การจัดลำดับหัวข้อความสัมพันธ์ของหัวข้อต่างๆ ของปัญหาทีอภิปรายเวลาที่ใช้ในการอภิปรายของแต่ละบุคคลและเวลาที่ใช้ทั้งหมด
(2)การประเมินผู้พูด
– พูดตรงประเด็น รัดกุม ใช้ภาษาเหมาะสมและสุภาพ
– ท่าทางในการพูด มรรยาทในการพูด
– การให้เหตุผล ใช้ความรู้ และการค้นคว้า
– การใช้หลักฐาน และอุปกรณ์ประกอบ
– การใช้เวลาเหมาะสม
ผู้ฟัง
–  มารยาท ความตั้งใจ สนใจในการฟัง
– การบันทึก การจับประเด็น
–  การมีส่วนร่วมในการอภิปราย การซักถาม
– ให้ความคิดเห็นเพิ่มเติม
– มารยาทในการซักถาม การพูด

สรุปผลที่ได้รับ
      นำผลที่ได้รับมาอภิปรายร่วมกับผู้เรียน เพื่อพิจารณาแก้ไขข้อบกพร่องที่พบเห็นจากการประเมินผล


เทคนิคในการสอนแบบอภิปราย
ผู้สอนควรนำการอภิปรายโดยการแนะนำเรื่องที่จะอภิปราย การสาธิตในสิ่งที่จำเป็นจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีผู้สอนควรทำให้ทุกคนเข้าใจปัญหาที่จะอภิปรายโดยชัดเจน ด้วยการใช้ถ้อยคำเฉพาะและตรง
ผู้สอนควรกำหนดขอบข่ายของเรื่องและเวลาให้เหมาะสมกับเรื่อง
ผู้สอนควรอธิบายคำถามนำให้ชัดเจนในขณะที่ผู้เรียนคนหนึ่งเขียนบนกระดาน
ในขณะที่การอภิปรายดำเนินต่อไป ผู้สอนควรพยายามสร้างบรรยากาศให้เป็นกันเองและมีอิสระเพื่อให้นักเรียนทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการอภิปรายโดยปราศจากความกลัวผู้สอนควรกระตุ้นให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มได้มีส่วนร่วมในการอภิปราย และควรให้ความสนใจนักเรียนที่ขี้อาย และหวาดกลัว
ข้อดีและข้อจำกัดของการสอนแบบอภิปราย
ข้อดี
1)เป็นการสอนแบบประชาธิปไตย ผู้เรียนสามารถแสดงความคิดเห็นโดยเสรีและทั่วถึงกัน
2)เป็นการพัฒนาผู้เรียนในด้านการฝึกให้คิด ให้แสดงความคิดเห็น
3)เป็นการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอันเป็นการช่วยในการตัดสินใจ
4)ส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างผู้เรียนด้วยกัน และยอมรับความเห็นซึ่งกันและกัน
5)ผู้เรียนมีปัญหาประสบการณ์และความสนใจในเรื่องเดียวกัน
6)ผู้เรียนสามารถนำความรู้และประสบการณ์ไปใช้ได้จริง
7)การอภิปรายมีวัตถุประสงค์ชัดเจนและสะดวกต่อการประเมินผล
ข้อจำกัด
1)ถ้าผู้นำการอภิปรายขาดความสามารถในการนำ จะทำให้ผลการอภิปรายไม่ดีเท่าที่ควร
2)ถ้าผู้เรียนแตกต่างกันมากในด้านความคิด หรือไม่กล้าแสดงความคิดเห็นอาจทำให้การอภิปรายไม่ได้ผลเท่าที่ควร
3)วิธีการมอบเรื่องให้ใครคนใดคนหนึ่งนำไปพิจารณา ซึ่งมักจะมีเสนอในการประชุม ซึ่งผิดหลักการระดมความคิดจากทุกๆ คน
4)บางครั้งประธานในการอาจกล่าวนำหรือแนะนำจนสมาชิกไม่ได้ใช้ความคิด
อ้างอิง



การฝึกปฏิบัติการ
ความหมาย
คำว่า “ฝึก” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542 หมายถึง ทำ (เช่น บอก แสดง หรือปฏิบัติ เป็นต้น) เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจจนเป็นหรือมีความชำนาญ ส่วนคำว่า “ปฏิบัติ” หมายถึง ดำเนินการตามระเบียบแบบแผน และคำว่า “ปฏิบัติการ” หมายถึง ฝึกงานเพื่อให้เกิดความชำนาญ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546: 751,647)
วีระ ไทยพานิช (2551: 15) กล่าวว่า การฝึก (Drill) หมายถึง การกระทำซ้ำหรือการทำแบบฝึกหัดเพื่อพัฒนาทักษะ (Skill) และการปฏิบัติ (Practice) คือการปฏิบัติจริงในสิ่งที่เรียนมาซึ่งการปฏิบัติย่อยๆ ก็จะเป็นการกระทำซ้ำๆ จุดมุ่งหมายสำคัญของการฝึกปฏิบัติซ้ำ ๆ เพื่อลงมือกระทำจริงและเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
สรุปได้ว่า เทคนิคการสอนโดยใช้การฝึกและปฏิบัติ หมายถึง กลวิธีที่ครูใช้ในการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนโดยให้นักเรียนได้ทำ แสดงหรือปฏิบัติเพื่อให้เกิดความชำนาญในสิ่งที่ได้ฝึกนั้น
วัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติมีหลายประการ ที่สำคัญ ได้แก่
1. เพื่อให้นักเรียนได้มีประสบการณ์ตรง ทำให้เข้าใจในสิ่งที่เรียนได้ดีขึ้น
2. เพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะและเกิดการเรียนรู้ที่คงทนมากยิ่งขึ้น
3. เพื่อลดความเบื่อหน่ายและสร้างความตื่นตัวให้กับนักเรียน
4. เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสได้ประเมินตนเองว่าทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายได้หรือไม่
5. เพื่อให้ครูสามารถประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนจากการสังเกตผลงานของนักเรียนที่ได้จากการฝึกปฏิบัติ
6. เพื่อให้นักเรียนมีทักษะและเกิดความชำนาญในสิ่งที่ได้ฝึกปฏิบัติซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในสิ่งที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
7. เพื่อเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนและระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง เช่น ในกรณี “เพื่อนสอนเพื่อน” เป็นต้น และก่อให้เกิดความสามัคคีมากยิ่งขึ้น
ประโยชน์ของเทคนิคการสอนโดยใช้การฝึกและปฏิบัติ
เมื่อครูให้นักเรียนได้ฝึกและปฏิบัติกิจกรรมในชั้นเรียนจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการดังนี้
1. นักเรียนได้มีประสบการณ์ตรง ทำให้เข้าใจในสิ่งที่เรียนได้ดีขึ้น
2. นักเรียนเกิดทักษะและเกิดการเรียนรู้ที่คงทนมากยิ่งขึ้น
3. เนื่องจากนักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเอง ซึ่งอาจทำให้นักเรียนมีความกระตือรือร้น
4. เมื่อได้ปฏิบัตินักเรียนจะทราบว่าตัวเองมีความเข้าใจในบทเรียนมากน้อยเพียงใดและทราบว่าจะพัฒนาตนเองอย่างไร
5. ครูสามารถประเมินผลการเรียนรู้ของนักเรียนจากการสังเกตผลงานของนักเรียนที่ได้จากการฝึกปฏิบัติ
6. นักเรียนมีทักษะและเกิดความชำนาญในสิ่งที่ได้ฝึกปฏิบัติซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในสิ่งที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
7. ทำให้มีปฏิสัมพันธ์ระหว่างภายในชั้นเรียนมากยิ่งขึ้น เช่น ในกรณี “เพื่อนสอนเพื่อน” เป็นต้น และก่อให้เกิดความสามัคคีมากยิ่งขึ้น

เทคนิคการสอนโดยใช้การฝึกและปฏิบัติ
ออร์สทีนและลาสเลย์ (Ornstein & Lasley II, 2000: 190) ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับกาฝึกและปฏิบัติ ได้ข้อสรุปเป็นคำแนะนำในการปรับปรุงการใช้การฝึกและปฏิบัติให้ดียิ่งขึ้น ดังนี้
1. ต้องมีกฎระเบียบที่ชัดเจนสำหรับพฤติกรรมทั่วๆ ไปของนักเรียน กฎระเบียบเหล่านี้ ช่วยให้นักเรียนจัดการกับความต้องการของตนเองได้ เช่น การขออนุญาตไปห้องน้ำ หรือแนวทางการปฏิบัติงานที่ต้องทำเป็นประจำโดยที่ไม่รบกวนเพื่อนร่วมชั้น เช่น การเหลาดินสอ เป็นต้น
2. ครูควรเดินไปรอบๆ ห้องเพื่อดูแลและให้คำปรึกษานักเรียนขณะที่นักเรียนกำลังทำงานที่ได้รับมอบหมาย ให้นักเรียนรู้สึกว่าครูกำลังสังเกตพฤติกรรมของตนอยู่และในขณะเดียวกันครูก็พร้อมที่ช่วยเหลือนักเรียนหากมีปัญหาเกิดขึ้น
3. ให้คำแนะนำ คำอธิบายและผลป้อนกลับแก่นักเรียน ยิ่งครูให้ความสนใจนักเรียนมากเท่าไร นักเรียนก็ยิ่งสนใจในการทำงานที่ครูมอบหมาย และครูต้องคอยสังเกตนักเรียน หากนักเรียนเกิดความไม่เข้าใจหรือสับสนเกี่ยวกับงานที่ทำให้ครูดำเนินการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว
4. ใช้เวลาสำหรับการสอนและการสอนซ้ำเกี่ยวกับทักษะพื้นฐานเพิ่มมากขึ้น นักเรียนในระดับประถมศึกษาและนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำควรได้รับการฝึกฝนเกี่ยวกับทักษะการเรียนอย่างเต็มที่
5. ให้นักเรียนได้ฝึกและปฏิบัติทั้งในช่วงระหว่างและหลังจากเกิดการเรียนรู้แล้ว
6. จัดให้มีการฝึกและการปฏิบัติที่มีความท้าทายและหลากหลาย การฝึก ปฏิบัติอาจเป็นเรื่องที่ทำให้นักเรียนเป็นทุกข์หรือเกิดการเบื่อหน่ายได้ ถ้าการฝึกปฏิบัตินั้นง่ายหรือยากเกินไปหรือให้ทำสิ่งเดียวตลอด
7. ให้นักเรียนตื่นตัวตลอดเวลาและมีใจจดจ่ออยู่กับงาน ครูต้องถามคำถามนักเรียนเป็นครั้งคราวโดยเรียกทั้งนักเรียนที่อาสาและไม่อาสาที่จะตอบ และครูต้องอธิบายเพิ่มให้แก่นักเรียนในข้อที่นักเรียนตอบผิด
8. ครูต้องใช้กิริยาท่าทางที่มีความตื่นตัวตลอดเวลา เพื่อการจัดการชั้นที่ดีขณะที่นักเรียนฝึกและปฏิบัติ

          วีระ ไทยพานิช (2551: 15-16)
แนะนำเกี่ยวกับการฝึกและปฏิบัติ ดังนี้
1. ครูต้องให้คำแนะนำ นำเสนอข้อมูลและวัสดุเท่าที่นักเรียนต้องการอย่างชัดเจน
2. การฝึกควรเว้นระยะเวลา ไม่ทำซ้ำๆ มากจนนักเรียนเกิดการเบื่อ
3. การนำเกมหรือสถานการณ์จำลองมาใช้เป็นเครื่องช่วยสร้างแรงจูงใจอย่างดีในการฝึก
4. บอกให้นักเรียนรู้ถึงความก้าวหน้าของเขา

          สุปราณี จิราณรงค์ (2551: 103-104) กล่าว่า หลังจากสอนจบนักเรียนจะต้องมีงานทำ เช่น แบบฝึกหัด ใบงาน การบ้าน รายงานเดี่ยว กลุ่ม โครงงาน เป็นต้น ซึ่งครูจะต้องอธิบายให้นักเรียนเข้าใจตรงกันทั้งห้องในสิ่งที่ครูมอบหมายให้ทำ
         1. แบบฝึกหัด เป็นงานที่นักเรียนต้องรับผิดชอบทำหลังจากจบบทเรียนที่ ในระดับชั้นเล็กๆ เช่น ระดับอนุบาลถึงระดับชั้นประถมศึกษา ช่วงชั้นที่ 1 นักเรียนยังเล็กบางคนไม่สามารถทำงานด้วยตนเองจนสำเร็จได้ ครูควรให้ความช่วยเหลือโดยการทำแบบฝึกหัดไปพร้อมๆ กันทั้งห้อง โดยครูให้นักเรียนทั้งห้องช่วยกันคิด ช่วยกันตอบ ทำไปพร้อมๆ กัน แล้วครูเขียนสรุปเป็นคำตอบบนกระดานซึ่งจะเป็นผลดีที่ช่วยให้นักเรียนเข้าใจเพิ่มขึ้นหลังสรุปบทเรียนแล้ว
        2. การให้ทำงานกลุ่ม และโครงงานต่างๆ ครูควรให้เวลาที่พอเหมาะและมีการติดตาม การทำงานของนักเรียนอย่างสม่ำเสมอ พร้อมให้ความช่วยเหลือในเรื่องคำแนะนำ การแก้ปัญหาต่างๆ เป็นต้น ปัญหานั้นๆ อาจเกิดจากการหาแหล่งข้อมูลไม่ได้ ไม่รู้วิธีการทำ ซึ่งครูจะต้องเป็นผู้แนะนำชี้ทางให้นักเรียนสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง
สรุปได้ว่า ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้นักเรียนได้ฝึกและปฏิบัตินั้น ครูต้องใช้กลวิธีต่างๆ เพื่อให้การฝึกและปฏิบัติเกิดผลมากที่สุด เทคนิคที่สำคัญ ได้แก่ ครูต้องคอยให้สังเกตการฝึกและปฏิบัติของนักเรียนและพร้อมที่จะช่วยเหลือทันทีที่นักเรียนมีปัญหาหรือเกิดข้อสงสัย รวมทั้งให้คำแนะนำ คำอธิบายหรือผลป้อนกลับเกี่ยวกับผลการฝึกและปฏิบัติของนักเรียน นอกจากนี้ กิจกรรมที่ครูฝึกต้องเป็นกิจกรรมที่ท้าทายและหลากหลายและครูต้องใช้คำถามกระตุ้นอย่างสม่ำเสมอ




วิธีการสอนโดยใช้เกม  (Game)
 วิธีการสอนโดยใช้เกม  คือ  กระบวนการที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา และนำเนื้อหาและข้อมูลของเกม พฤติกรรมการเล่น วิธีการเล่น และผลการเล่นเกมของผู้เรียนมาใช้ในการอภิปรายเพื่อสรุปการเรียนรู้ (ทิศนา แขมมณี, 2543)
วัตถุประสงค์
1. ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ อย่างสนุกสนานและท้าทายความสามารถ
2. ทำให้เกิดประสบการณ์ตรง
3. เป็นวิธีที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูง
ขั้นตอนการสอน
1.ผู้สอนนำเสนอเกม ชี้แจงวิธีการเล่น และกติกาการเล่นเกม  เกมที่ได้รับการออกแบบให้เป็นเกมการศึกษาโดยตรงมีอยู่ด้วยกัน 3 ประเภท คือ 1) เกมแบบไม่มีการแข่งขัน 2)เกมแบบแข่งขัน 3) เกมจำลองสถานการณ์  การเลือกเกมเพื่อนำมาใช้สอนทำได้หลายวิธีผู้สอนอาจเป็นผู้สร้างเกมขึ้น หรืออาจนำเกมที่มีผู้สร้างขึ้นแล้วมาปรับดัดแปลงให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ และควรชี้แจงกติกาการเล่นเกมให้เข้าใจ
2.ผู้เรียนเล่นเกมตามกติกา ผู้สอนควรติดตามสังเกตพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด และควรบันทึกข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนของผู้เรียน
3. ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายผล ควรอภิปรายผลเกี่ยวกับผลการเล่น และวิธีการหรือพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียนที่ได้จากการสังเกตจดบันทึกไว้ และในการอภิปรายผลควรให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ การใช้เกมในการสอนโดยทั่ว ๆ ไป มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1) ฝึกฝนเทคนิคหรือทักษะต่าง ๆ
2) เรียนรู้เนื้อหาสาระจากเกม
3) เรียนรู้ความเป็นจริงตามสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนั้นการอภิปรายควรมุ่งประเด็นไปตามวัตถุประสงค์ของการสอน
ข้อดีและข้อจำกัด
ข้อดี
1. ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สูง
2. ผู้เรียนได้รับความสนุกสนาน และเกิดการเรียนรู้จากการเล่น
ข้อจำกัด
1.เป็นวิธีสอนที่ใช้เวลามาก
2.เป็นวิธีสอนที่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากเกมบางเกมต้องซื้อหามาโดยเฉพาะเกมจำลองสถานการณ์บางเกมมีราคาสูงมาก
3.เป็นวิธีสอนที่ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้สอน ผู้สอนจำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างเกม จึงจะสามารถสร้างได้
4.เป็นวิธีสอนที่ต้องอาศัยการเตรียมการมาก
5.เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนต้องมีทักษะในการนำอภิปรายที่มีประสิทธิภาพ จึงจะสามารถช่วยให้ผู้เรียนประมวลและสรุปการเรียนรู้ได้




วิธีสอนแบบกรณีศึกษา (Case Based Learning)
แนวคิด
               การสอนโดยใช้กรณีตัวอย่างเป็นวิธีสอนที่ใช้กรณีหรือเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริงมาดัดแปลงเพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษา วิเคราะห์ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง ทำให้ผู้เรียนได้รู้จักวิธีการคิด วิธีการนำข้อมูลต่าง ๆ มาประกอบการพิจารณาในการตัดสินเรื่องหนึ่งเรื่องใด
ลักษณะสำคัญ
               การเรียนการสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง เป็นการวิเคราะห์ถามตอบโดยการตั้งประเด็นคำถามกรณีที่ยกมาเป็นตัวอย่างคือกิจกรรมที่รวบเอาการบรรยาย การอภิปราย การโต้วาที และบทบาทสมมุติเข้ามาไว้ในกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมด
วัตถุประสงค์
      1) เพื่อเป็นกิจกรรมที่ผู้เรียนมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
      2) เพื่อให้ผู้เรียนได้แก้ปัญหาและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
      3) เพื่อให้ผู้เรียนรู้จักคิดอย่างเป็นระบบ
      4) เพื่อฝึกให้ผู้เรียนรู้จักรับฟังและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น
ลักษณะห้องเรียน
               หากเป็นการศึกษากรณีเดียวโดยทุกคนทำพร้อมกันก็จัดชั้นเรียนในลักษณะปกติ แต่ถ้าต้องการแบ่งกลุ่มเพื่อศึกษากรณีรายบุคคลแตกต่างกันก็ต้องจัดชั้นเรียนเป็นกลุ่ม ๆ ตามจำนวนกลุ่มที่แบ่ง
  บทบาทผู้สอน
     1) ผู้สอนเป็นผู้เตรียมกรณีตัวอย่างจากข้อมูลข่าวสาร สื่อ เรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ
     2) ผู้สอนเป็นผู้นำเสนอกรณีให้ผู้เรียนได้ทราบหรืออาจจะมอบให้ผู้เรียนเป็นการสมมุติขึ้นก็ได้
     3) ผู้สอนต้องตั้งคำถามยั่วยุให้ผู้เรียนเกิดความคิดวิเคราะห์และเชื่อมโยงกรณีตัวอย่างนั้นกับเรื่องราวอื่น ๆ
     4) ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายเรื่องราวของกรณีตัวอย่างนั้น
     5) ผู้สอนให้ผู้เรียนสรุปแนวคิดที่ได้จากกรณีตัวอย่าง
 บทบาทผู้เรียน
    1)  นำเสนอกรณีตัวอย่าง
    2)  ช่วยกันอภิปราย วิเคราะห์
    3)  ช่วยกันสรุปแนวคิดที่ได้
    4)  นำผลที่ได้ไปใช้เชื่อมโยงกับวิชาอื่น ๆ ต่อไป
สื่อการสอนเมื่อสอนโดยใช้กรณีตัวอย่าง
               ในการนำเสนอกรณีตัวอย่างจะใช้สื่อหลากหลายรูปแบบ เช่น วีดิทัศน์ หนังสือพิมพ์ รูปภาพ กราฟฟิก หรือบทบาทสมมุติ ฯลฯ
ข้อดีและข้อจำกัด
 ข้อดี
       1)  ทำให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงความคิดเห็นและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
       2)  ผู้เรียนได้เกิดทักษะในการคิดวิเคราะห์
       3)  ผู้เรียนได้รู้จักวิธีแก้ปัญหาและการตัดสินใจ
       4)  ทำให้ผู้เรียนได้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
       5)  ทำให้ผู้เรียนได้รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
  ข้อจำกัด
       1) หากใช้กับกลุ่มผู้เรียนมากเกินไป ผู้เรียนก็จะแสดงออกไม่ทั่วถึง
       2) หากผู้สอนขาดทักษะในการตั้งคำถามกระตุ้น บรรยากาศของการเรียนรู้ก็เกิดได้ยาก
       3) ถ้าผู้เรียนไม่ร่วมมือ ไม่กระตือรือร้นก็จะทำให้ผลการเรียนไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้
อ้างอิง



วิธีสอนการใช้สถานการณ์จำลอง (Simulation)
          วิธีการสอน เป็นขั้นตอนที่ผู้สอนดำเนินการเพื่อให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่
กำหนดไว้ ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่ได้มีโอกาสศึกษาและแลกเปลี่ยน
เรียนรู้กับเพื่อนร่วมงาน พบวิธีการสอนมีหลายวิธี สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับเนื้อหาสาระ
และผู้เรียน ซึ่งในที่นี้ จะนำเสนอวิธีสอนโดยการใช้สถานการณ์จำลอง  (Simulation)        
ความหมาย
          วิธีสอนโดยการใช้สถานการณ์จำลอง คือ กระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด โดยให้ผู้เรียนลงไปเล่นในสถานการณ์ที่มีบทบาท ข้อมูลและกติกาการเล่น ที่สะท้อนความเป็นจริง และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในสถานการณ์นั้นๆโดยใช้ข้อมูลที่มีสภาพคล้ายกับข้อมูลในความเป็นจริง ในการตัดสินใจและแก้ปัญหาต่างๆซึ่งการตัดสินใจนั้นจะส่งผลถึงผู้เล่นในลักษณะเดียวกันที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง
วัตถุประสงค์
          วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลอง เป็นวิธีการที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้สภาพความเป็นจริง
และเกิดความเข้าใจในสถานการณ์หรือเรื่องที่มีตัวแปรจำนวนมากที่มีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อน
องค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ ของวิธีสอน
          - มีผู้สอนและผู้เรียน
          - มีสถานการณ์ ข้อมูล บทบาท และกติกา ที่สะท้อนความเป็นจริง
          - ผู้เล่นในสถานการณ์มีปฏิสัมพันธ์กันหรือมีปฏิสัมพันธ์กับปัจจัยต่างๆ ในสถานการณ์นั้น
          - ผู้เล่นหรือผู้สวมบทบาทมีการใช้ข้อมูลที่ให้ในการตัดสินใจ
          - การตัดสินใจส่งผลต่อผู้เล่นในลักษณะเดียวกันกับที่เกิดขึ้นในสถานการณ์จริง
          - มีการอภิปรายเกี่ยวกับสถานการณ์ ข้อมูลและกติกาของสถานการณ์ วิธีการเล่น พฤติกรรม
การเล่นและผลการเล่น เพื่อการเรียนรู้
          - มีผลการเรียนรู้ของผู้เรียน

ขั้นตอนสำคัญ ที่ขาดไม่ได้ ของการสอน
          - ผู้สอนเตรียมสถานการณ์จำลอง
          - ผู้สอนนำเสนอสถานการณ์จำลอง บทบาท ข้อมูล และกติกาการเล่น
          - ผู้เรียน เลือกบทบาทที่จะเล่น หรือผู้สอนกำหนดบทบาทให้ผู้เรียน
          - ผู้เรียนเล่นตามกติกาที่กำหนด
          - ผู้สอนและผู้เรียน ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับสถานการณ์ ข้อมูล และกติกาของสถานการณ์
วิธีการเล่น พฤติกรรมการเล่น และผลการเล่น
          - ผู้สอนและผู้เรียน สรุปการเรียนรู้ที่ได้รับจากการเล่น
          - ผู้สอนประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน

เทคนิค ข้อเสนอแนะต่างๆ ในการใช้วิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองให้มีประสิทธิภาพ
การเตรียมการ
         
       ผู้สอนเตรียมสถานการณ์จำลองที่จะใช้สอน โดยอาจสร้างขึ้นเองหรืออาจเลือกสถานการณ์
จำลองที่มีผู้สร้างไว้แล้ว ทั้งนี้ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กำหนด เมื่อมีสถานการณ์จำลองแล้ว 
ผู้สอนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจในสถานการณ์จำลองนั้นและควรลงเล่นด้วยตนเอง เพื่อจะได้
ทราบถึงอุปสรรคข้อขัดข้องต่างๆ ในการเล่น จะได้จัดเตรียมการป้องกันหรือแก้ไขไว้ให้พร้อม
          การนำเสนอสถานการณ์จำลอง   เนื่องจากสถานการณ์จำลองส่วนใหญ่ จะมีความซับซ้อนพอสมควรไปถึงระดับมากการนำเสนอสถานการณ์ บทบาท และกติกา จำเป็นต้องมีการเตรียมการอย่างดี ควรนำเสนออย่างเป็นไปตามลำดับขั้นตอน ไม่สับสน และควรจัดข้อมูลทุกอย่างไว้ให้พร้อควรเริ่มด้วยการบอกเหตุผลและวัตถุประสงค์กว้างๆ แก่ผู้เรียนว่า การเล่นในสถานการณ์จำลองนี้จะให้อะไรและเหตุใดจึงมาเล่นกัน ต่อไปจึงค่อยให้ภาพรวมของสถานการณ์จำลองทั้งหม แล้วจึงให้รายละเอียดที่จำเป็น เช่น กติกา บทบาท เมื่อทุกคนเข้าใจพอสมควรแล้ว จึงให้เล่นได้
          การเลือกบทบาท เมื่อผู้เรียนเข้าใจภาพรวมและกติกาแล้ว ผู้เรียนทุกคนควรได้รับบทบาทในการเล่น ซึ่งผู้เรียนอาจเป็นผู้เลือกเอง หรือในบางกรณีผู้สอนอาจกำหนดบทบาทให้ผู้เรียน
          การเล่นในสถานการณ์จำลอง ในขณะที่ผู้เรียนกำลังเล่นในสถานการณ์จำลองนั้น ผู้สอนควรติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อสังเกตพฤติกรรมการเล่นของผู้เรียนและจดบันทึกข้อมูลที่จะเป็นประโยชน์ต่อการการเรียนเรียนรู้ของผู้เรียน ให้คำปรึกษาตามความจำเป็น รวมทั้งแก้ปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น
          การอภิปราย การอภิปรายควรมุ่งประเด็นไปที่การเรียนรู้ความเป็นจริงว่า ในความเป็นจริงสถานการณ์เป็นอย่างไรและอะไรเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งผู้เรียนมักได้เรียนรู้จากการเล่นของตนในสถานการณ์นั้น จึงทำให้เกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เมื่อได้เรียนรู้ความเป็นจริงแล้วการอภิปรายขยายต่อไปว่า เราควรจะให้สถานการณ์นั้นคงอยู่ หรือ เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไร และจะทำอย่างไรจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้

ข้อดีและข้อจำกัดของวิธีสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองให้มีประสิทธิภาพ

ข้อดี
1.เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องที่มีความสัมพันธ์ซับซ้อนได้อย่างเข้าใจ
เกิดความเข้าใจ เนื่องจากได้มีประสบการณ์ที่เห็นประจักษ์ชัดด้วยตนเอง
2.เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้สูงมาก ผู้เรียนได้เรียนอย่างสนุกสนาน
การเรียนรู้มีความหมายตู่อตัวผู้เรียน
3.เป็นวิธีสอนที่ผู้เรียนมีโอกาสฝึกทักษะกระบวนการต่างๆจำนวนมาก เช่น กระบวน
การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น กระบวนการสื่อสาร กระบวนการตัดสินใจ กระบวนการแก้ปัญหา และกระบวนการคิด เป็นต้น

ข้อจำกัด
1.เป็นวิธีสอนที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง เพราะต้องมีวัสดุ อุปกรณ์ และข้อมูลสำหรับผู้เล่น
ทุกคน และสถานการณ์จำลองบางเรื่องมีราคาแพง
2.เป็นวิธีสอนที่ใช้เวลามาก เพราะต้องให้เวลาแก่ผู้เล่นในการเล่นและการอภิปราย
3.เป็นวิธีการสอนที่ต้องใช้เวลาในการเตรียมการมาก ผู้สอนต้องศึกษารายละเอียดและ
ลองเล่นด้วยตนเองและในกรณีที่ต้องสร้างสถานการณ์เอง ยิ่งต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้น
4.เป็นวิธีการสอนที่ต้องพึ่งสถานการณ์จำลอง ถ้าไม่มีสถานการณ์จำลองที่ตรงกับ
วัถุประสงค์หรือความต้องการ ผู้สอนต้องสร้างขึ้นเอง ถ้าผู้สอนไม่มีความรู้ ความเข้าใจในการสร้างสถานการณ์เพียงพอ ก็จะไม่สามารถสร้างได้
5.วิธีสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เล่นและแสดงออกอย่างหลากหลาย จึงเป็น
การยากสำหรับผู้สอนในการนำการอภิปรายให้ไปสู่การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์




เทคนิคการสอนโดยใช้การแสดงละคร
ความหมาย
วิธีสอนโดยใช้การแสดงละคร คือกระบวนการที่ผู้สอนใช้ในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ โดยการให้ผู้เรียนแสดงละคร ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตามเนื้อหาและบทละครที่ได้กำหนดไว้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ทำให้เรื่องราวนั้นมีชีวิตขึ้นมา และสามารถทำให้ทั้งผู้แสดงและผู้ชมเกิดความเข้าใจและจดจำเรื่องนั้นได้นาน
วัตถุประสงค์
วิธีสอนโดยใช้การแสดงละคร เป็นวิธีการที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนเห็นภาพของเรื่องราวที่ต้องการเรียนรู้ ประจักษ์ชัดด้วยตาตนเอง ทำให้เรื่องราวนั้นมีชีวิตขึ้นมา จึงช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ชัดเจน และจดจำได้นาน

องค์ประกอบสำคัญ (ที่ขาดไม่ได้) ของวิธีสอน
1 มีบทละคร คือเรื่องที่มีเนื้อหาและบทพูดหรือบทแสดงกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ
2 มีการแสดงตามบทที่กำหนด และมีการชมและสังเกตการแสดง
3 มีการอภิปรายเกี่ยวกับเรื่องราวหรือเนื้อหาการแสดง การแสดงของผู้รับบทบาทต่าง ๆ
4 มีการสรุปการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ได้จากการแสดงและชมการแสดง

ขั้นตอนสำคัญ (ที่ขาดไม่ได้) ของการสอน
1 ผู้สอน / ผู้เรียนเตรียมบทละคร
2 ผู้เรียนศึกษาบทละครและเลือก (หรือผู้สอนกำหนด) บทบาทที่จะแสดง
3 ผู้เรียนศึกษาบทที่จะแสดงและซ้อมการแสดง ผู้สอนให้คำแนะนำในการชมการแสดงแก่ผู้เรียนที่เป็นผู้ชม
.4 ผู้สอนและผู้เรียนจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์สำหรับการแสดง เช่น เครื่องแต่งกาย ฉาก เฟอร์นิเจอร์ ฯลฯ
5 ผู้เรียนแสดงหรือชมการแสดง
6 ผู้สอนและผู้เรียนอภิปรายเกี่ยวกับการแสดงของผู้เล่น เรื่องราวหรือเนื้อหาการแสดง และสรุปการเรียนรู้
ที่ได้จากการแสดง
เทคนิคและข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในการใช้วิธีสอนโดยการแสดงละครให้มีคุณภาพ

การแสดงละครเพื่อการเรียนรู้ มีหลายแบบดังนี้
ก. การแสดงละครแบบเป็นทางการ หรือ การแสดงนาฎการ (dramatization) เป็นการแสดงละครที่มีการเตรียมบทละครตั้งแต่ต้นจนจบไว้ และผู้แสดงจะต้องมีการซักซ้อมการแสดงก่อนการแสดง จนผู้แสดงสามารถแสดงได้ตามบท และมีการจัดฉากจัดเวที ให้ดูสมจริง ตัวอย่างการแสดงนาฏการที่นิยมกันมาก ได้แก่ การแสดงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ หรือชีวประวัติของบุคคลสำคัญ ๆ เป็นต้น
 ข. การแสดงละครแบบไม่เป็นทางการ หรือเรียกสั้น ๆ ได้ว่า เป็นการแสดง (acting) เป็นการแสดงเรื่องราวหรือ
เหตุการณ์สั้น ๆ เฉพาะจุดเฉพาะประเด็น เพื่อช่วยทำให้เรื่องราว / เหตุการณ์ / จุด / ประเด็น เหล่านั้น มีความกระจ่างชัดขึ้น การ
แสดงแบบนี้ ผู้สอนสามารถใช้สอนสอดแทรกในการสอนเนื้อหาสาระต่าง ๆ ได้มาก เช่น การแสดงวิธีการจัดโต๊ะอาหาร การแสดง
พิธีแต่งงาน พิธีทำขวัญ วิธีการผายปอด วิธีการช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุอุบัติภัย วิธีการป้องกันตัว ตลอดจนการแสดงบทบาทหน้าที่ของบุคคลในอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น
ค. การแสดงละคนใบ้ เป็นการแสดงที่ผู้แสดงใช้การแสดงออกทางท่าทางสื่อความหมายเรื่องราวให้ผู้ชมเข้าใจโดยไม่ใช้ภาษาพูดเลย แต่อาจมีการใช้การบรรยายประกอบท่าทางได้ เพื่อช่วยให้ผู้ชมมีความเข้าใจมากขึ้น เช่น การแสดงละครใบ้สื่อความหมายเกี่ยวกับปรัชญาในการดำรงชีวิต ความคับข้องใจ การแก้ปัญหาต่าง ๆ เป็นต้น
ง. การแสดงละครเลียนแบบ เป็นการแสดงที่ผู้แสดงพยายามแสดงลักษณะท่าทาง เลียนแบบบุคคล สัตว์ หรือสิ่งของต่าง ๆ เช่น การแสดงละครเลียนแบบดารา นักร้อง นักพูด ที่มีชื่อเสียง การแสดงท่าทางและเสียงร้องเลียนแบบสัตว์ต่าง ๆเช่น สุนัข แมว สิงโต นกต่าง ๆ หรืออาจแสดงเลียนแบบกลไกทำงานของสิ่งของต่าง ๆ เช่น หุ่นยนต์ คอมพิวเตอร์ รถไฟ รถเมล์เครื่องบิน เป็นต้น
จ. การแสดงละครล้อเลียน เป็นการแสดงละครที่มีเนื้อหาสาระเสียดสีบุคคล สังคม เรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อเน้นเจตคติ ค่านิยม หรือพฤติกรรมใด ๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน โดยการแสดงถึงความไม่ชอบด้วยเหตุและผลของสิ่งนั้น เช่น การแสดงละครล้อเลียนพฤติกรรมทางการเมืองของนักการเมือง การแสดงละครล้อเลียนเรื่องราวหรือเหตุการณ์ทางสังคมเป็นต้น
ฉ. การแสดงการเชิดหุ่นละคร เป็นการแสดงที่ผู้แสดงใช้หุ่นหรือวัสดุอื่น ๆ เป็นตัวแทนตนในการแสดงออก ผู้แสดงจะไม่ปรากฏกายหรือแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ให้เห็น แต่จะเชิดหุ่นให้แสดงตามที่ตนปรารถนา ซึ่งก็คือ การเชิดหุ่นให้แสดงตามบทและเรื่องราวที่ได้เตรียมไว้ หุ่นที่ใช้ในการแสดงมีมากมายหลายประเภท เช่น หุ่นกระบอก หุ่นนิ้วมือ หุ่นสวมมือ หุ่นเสียบ
ไม้ หุ่นหนังตะลุง หุ่นดิน เป็นต้น หุ่นดังกล่าวอาจเป็นหุ่นรูปคน หุ่นรูปสัตว์ หรือหุ่นรูปสิ่งของต่าง ๆ หุ่นเหล่านี้เป็นตัวแทนในการแสดงออกทางท่าทางของผู้แสดง แต่ผู้แสดง (ผู้เชิดหุ่น) ยังเป็นผู้แสดงออกทางบทพูดอยู่ หรือในบางกรณีที่ผู้เชิดหุ่นยังไม่ชำนาญ อาจมีผู้แสดงหลายคน เช่น คนหนึ่งเป็นผู้เชิดหุ่น อีกคนหนึ่งเป็นผู้พากย์ ผู้แสดงบทพูด อาจมีคนเดียวหรือหลายคนก็ได้
แล้วแต่ความสามารถของผู้แสดงการแสดงละครไม่ว่าจะเป็นแบบใด หากจะให้มีประสิทธิภาพ คือ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ ผู้สอนควรมีการเตรียมการและดำเนินการอย่างเหมาะสม ดังนี้

การเตรียมบทละคร
ผู้สอนและผู้เรียนควรมีการอภิปรายกันถึงวัตถุประสงค์ของการที่จะใช้ละครเป็นวิธีการเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด ผู้เรียนควรมีบทบาทในการเลือกเรื่องราวที่จะแสดง ผู้สอนอาจเตรียมบทละครให้ผู้เรียนแสดง
โดยต้องเตรียมเนื้อหาการแสดงตั้งแต่ต้นจนจบ และต้องเตรียมบทละคร คือบทพูดของตัวละครต่าง ๆ หรืออาจให้ผู้เรียนช่วยกันเขียน ซึ่งในทั้งสองกรณี ทั้งผู้สอนและผู้เรียนจำเป็นต้องศึกษาเนื้อหาหรือเรื่องราวจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้เนื้อหา / เรื่องราว ที่ตรงกับความเป็นจริงให้มากที่สุด และอาจจำเป็นต้องแสวงหาบุคคลผู้มีประสบการณ์หรือความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นมาให้คำปรึกษา เช่น การแสดงละครทางประวัติศาสตร์ การแสดงละครทางวรรณคดี เป็นต้น การแสดงละครที่ใช้เป็นวิธีสอนนี้ จะแตกต่างจากการแสดงละครที่เป็นศิลปะการแสดง การใช้ละครในการเรียนรู้ ไม่จำเป็นต้องจัดทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สมบูรณ์เหมือนความเป็นจริง แต่ต้องพิถีพิถันในจุดที่ผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ จุดนั้นจะต้องเด่นชัด การแสดงในจุดนั้นต้องให้เห็นสาระที่ต้องการชัดเจน องค์ประกอบอื่น ๆ ที่เป็นส่งเสริม ไม่จำเป็นต้องจัดทำให้สมบูรณ์ แต่ควรจะตรงตามความเป็นจริง ผิดกับละครที่เป็นศิลปะการแสดงจะต้องจัดทำทุกสิ่งให้สมบูรณ์ตามความเป็นจริง

การศึกษาบทละคร และเลือกบทบาทที่จะแสดง
ผู้สอนและผู้เรียนควรช่วยกันเลือกว่าใครควรจะแสดงบทอะไร โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมและความสามารถของผู้เรียนกับบทที่จะแสดง ควรจะเลือกผู้ที่มีบุคลิกลักษณะตรงกับเรื่อง และมีความสามารถที่จะตีบทแตก คือเล่นได้ดี
เล่นได้ตรงกับเนื้อหาของเรื่องมากที่สุด เนื่องจากการแสดงละคร เน้นที่การให้ผู้เรียนเห็นภาพหรือเรื่องราวที่ตรงกับเรื่องราวและความเป็นจริงมากที่สุด ดังนั้นผู้แสดงควรมีความเต็มใจที่จะแสดง เพื่อให้การแสดงออกมาดีที่สุด

การศึกษาบท ซ้อมการแสดง เตรียมผู้ชม และเตรียมวัสดุอุปกรณ์สำหรับการแสดง
เมื่อได้ตัวแสดงแล้ว ผู้แสดงแต่ละคนต้องศึกษาเรื่องราวและบทของตนเป็นพิเศษ ต้องพยายามจำบทของตนให้คล่อง เพื่อการแสดงจะได้ไม่ติดขัด และจะต้องมีการฝึกซ้อมการแสดงร่วมกัน ในบางกรณีหลังการฝึกซ้อมอาจจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนตัวแสดง หากพบว่า ผู้ที่เลือกไว้ ไม่สามารถแสดงได้ดีพอที่จะสื่อความหมายได้ตรงกับเรื่องราวหรือเนื้อหาอันเป็นวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน โดยปกติ การสอนด้วยวิธีนี้ ผู้เรียนจะไม่ได้แสดงทั้งหมด ผู้ที่ไม่แสดงจะเป็นผู้ชมการแสดง และผู้ช่วยจัดการแสดง เช่น ทำหน้าที่กำกับการแสดง บอกบท ช่วยจัดฉาก แต่งตัวผู้แสดง ช่วยจัดหาวัสดุอุปกรณ์ในการแสดง เป็นต้นดังนั้นผู้สอนจึงควรจัดแบ่งงานตามความสนใจ และความสามารถของผู้เรียน และให้คำแนะนำในการชมการแสดงว่า ควรสังเกตและให้ความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องอะไรบ้าง จุดไหนบ้าง

การแสดงละครและชมละคร
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว จึงเริ่มการแสดง ในขณะแสดง ผู้สอนและผู้ชมไม่ควรขัดการแสดงกลางคัน และ
ควรให้กำลังใจผู้แสดง โดยการตั้งใจชมการแสดง ปรบมือให้กำลังใจ ผู้ชมควรตั้งใจสังเกตการแสดงในจุดสำคัญที่ครูให้คำแนะนำ
เป็นพิเศษ และอาจจดบันทึกสิ่งที่สังเกตไว้เพื่อกันลืม ผู้แสดงก็ควรแสดงให้สมบทบาทมากที่สุด

การอภิปรายเพื่อสรุปการเรียนรู้
เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการแสดง มุ่งที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องราวที่แสดง ผู้สอนใช้การแสดงเป็นวิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องราวนั้น ๆ โดยได้เห็นเป็นภาพและการกระทำจริง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและจดจำเรื่องนั้นได้อย่างดีและจดจำได้นาน ดังนั้นละครที่แสดงออกมา จึงควรสะท้อนเรื่องราวความเป็นจริงนั้นให้เห็นชัด การอภิปรายเพื่อการเรียนรู้ จึงต้องมุ่งไปที่เรื่องราวที่แสดงออกมา และการแสดงของผู้แสดงว่า สามารถแสดงได้สมจริงเพียงใด

ข้อดีและข้อจำกัดของวิธีสอนโดยใช้การแสดงละคร
ข้อดี
1) เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เห็นสิ่งที่เรียนมีชีวิตขึ้นมา ทำให้การเรียนรู้มีความเป็นจริง และมีความหมายสำหรับผู้เรียน
2) เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างสนุกสนาน มีส่วนร่วมในการเรียนรู้สูง
3) เป็นวิธีสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะต่าง ๆ จำนวนมาก เช่น ทักษะการพูด การเขียน การแสดงออก การจัดการ การแสวงหาข้อมูลความรู้ และการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เป็นต้น
ข้อจำกัด
1) เป็นวิธีสอนที่ใช้เวลามาก ต้องมีการจัดเตรียมบทละคร และการแสดงที่ยุ่งยาก
2) เป็นวิธีสอนที่ต้องใช้วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องแต่งกาย ประกอบการแสดง ซึ่งอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
3) เป็นวิธีสอนที่ต้องอาศัยการแสวงหาข้อมูลที่ถูกต้องมาใช้ในการเขียนบท หากผู้สอนไม่มีข้อมูลเพียง
พอ หรือไม่สามารถแสวงหาข้อมูลที่ต้องการได้ จะทำให้เรื่องราวหรือการแสดงไม่สมบูรณ์




การสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ (Role-Play Method)
วิธีสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ (Role-Play Method)
               1.  แนวคิด
               การแสดงบทบาทสมมุติเป็นวิธีการสอนที่ให้ผู้เรียนได้ฝึกการแสดงออกตามสถานการณ์ที่กำหนดไว้เพื่อเป็นประสบการณ์ที่จะนำไปแก้ไขปัญหาและสถานการณ์ในชีวิตจริง
               2.  ลักษณะสำคัญ การสอนโดยใช้บทบาทสมมุติเป็นการให้ผู้แสดง แสดงออกถึงความรู้สึก ความคิด ทัศนคติต่าง ๆ ออกมาเพื่อเป็นแนวทางการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
               3.  วัตถุประสงค์
       1)  เพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงออกโดยตัวผู้เรียนเอง
       2)  เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกวางแผนการทำงานและทำงานร่วมกันได้
       3)  เพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจความรู้สึกและพฤติกรรมทั้งของตนเองและของผู้อื่น
       4)  เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้แสดงและผู้ดูที่ดี
       5)  เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ ได้จากการแสดงบทบาทสมมุติ
               4.  จำนวนผู้เรียน การสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ จะใช้ในห้องเรียนปกติแต่จะแบ่งผู้เรียนออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
       1)  กลุ่มผู้เรียนเป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่แสดงตามบทบาทที่กำหนด โดยครูหรือตามที่มอบ
หมายจากเพื่อน ซึ่งจะมีเท่าใดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หรือเนื้อหา
       2)  กลุ่มผู้สังเกตการณ์ อาจจะเป็นผู้เรียนที่อยู่นอกเหนือจากการแสดงทั้งหมดหรืออาจ
จะวางให้ชัดเจนว่าผู้เรียนคนใดจะเป็นผู้สังเกตการณ์ ทั้งนี้อาจจะเลือกโดยผู้สอนหรือผู้เรียนเองก็ได้แต่ที่สำคัญผู้สังเกตการณ์ต้องมีไหวพริบความสามารถในการนำเสนอได้
       3)  กลุ่มอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก 2 กลุ่มข้างต้น
               5.  ระยะเวลาการสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ จะใช้เวลาค่อนข้างมากเพราะต้องมีการเตรียมการ การแสดง และสรุปผลที่ได้จากการแสดงบทบาทสมมุติ บางครั้งอาจต้องใช้เวลามากกว่ากิจกรรมอื่น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้สอน
              6.  ลักษณะห้องเรียน การแสดงบทบาทสมมุติอาจจะใช้ในห้องเรียนธรรมดา หรืออาจจะสร้างสภาพแวดล้อมให้เหมือนจริงก็ได้
              7.  ลักษณะเนื้อหา การแสดงบทบาทสมมุติจะใช้ได้ดีในเนื้อหาที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของคน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงบทบาทที่สมมุติขึ้นมาหรือบทบาทที่เป็นของผู้แสดงเอง ต่างก็เป็นเรื่องของพฤติกรรมนิสัย หรือบุคลิกภาพของมนุษย์ทั้งสิ้น แต่ผู้สอนก็อาจจะปรับใช้ในวิชาอื่น ๆ ก็ได้
             8.  บทบาทผู้สอน การสอนบทบาทสมมุติผู้สอนมีบทบาทดังนี้คือ
       1)  ผู้สอนเป็นผู้พัฒนาหรือช่วยกันวิเคราะห์ร่วมกับผู้เรียนว่าจะกำหนดเรื่องราวใด ปัญหาใดที่จะกำหนดบทบาทสมมุติและตั้งวัตถุประสงค์ให้ชัดเจนว่าจะเกิดอะไรขึ้น ภายหลังการแสดงบทบาทสมมุติแล้ว
       2)  ผู้สอนจะต้องเป็นผู้เตรียมคำถามเพื่อถามผู้เรียนให้แสดงความคิดเห็นมากที่สุด
       3)  ผู้สอนจะต้องเตรียมประเด็นที่จะให้ผู้เรียนที่ทำหน้าที่สังเกตการณ์ได้สังเกตการณ์
ประเด็นที่กำหนด
       4)  ผู้สอนมีส่วนร่วมชี้แนะและคอยดูแลกำกับให้การแสดงบทบาทเป็นไปตามวัตถุ
ประสงค์ที่กำหนดไว้
       5)  ผู้สอนต้องเป็นผู้คัดเลือกผู้แสดง ทั้งนี้เพื่อให้การแสดงเป็นไปตามที่คาดหวัง
       6)  เป็นผู้ประเมินกระบวนการทั้งหมดร่วมกับผู้เรียน
              9.  บทบาทผู้เรียน     
      1) เป็นผู้แสดงบทบาทสมบูรณ์ตามที่ผู้สอนกำหนด
      2) เป็นผู้สังเกตการณ์
      3) เป็นผู้ชม
      4) เป็นผู้แสดงความคิดเห็นหรือร่วมอภิปรายและสรุป
             10. ขั้นตอนการสอน
      ขั้นเตรียมการ ผู้สอนเป็นผู้กำหนดสถานการณ์หรือช่วยกันวิเคราะห์เหตุการณ์หรือประเด็นต่าง ๆ ร่วมกับผู้เรียน แล้วกำหนดผู้แสดงบทบาทหรือประเด็นต่าง ๆ ร่วมกับผู้เรียน ทั้งนี้ส่วนใหญ่การแสดงบทบาทสมมุติจะแสดงทันทีทันใด โดยไม่ต้องมีการฝึกซ้อมมาก่อน โดยผู้สอนเพียงเป็นผู้อธิบายหรือซักซ้อมคร่าว ๆ เท่านั้น บางครั้งการแสดงบทบาทสมมุติ อาจจะใช้วิธีการทันทีทันใดแต่กำหนดหรือเลือกให้แสดงทันทีทันใด ผู้สอนต้องกำหนดผู้สังเกตการณ์และมอบหมายประเด็นที่จะสังเกตการณ์ให้ชัดเจน
      ขั้นแสดง ให้ผู้เรียนได้แสดงบทบาทตามที่ได้รับมอบหมายหรือเตรียมมาซึ่งบางครั้งก็แสดงทันทีทันใด             
      ขั้นสรุป เมื่อการแสดงจบลงผู้เรียนควรจะวิเคราะห์ อภิปราย และสรุป ด้วยตัวนักเรียนเอง ทั้งนี้อาจจะมีรูปแบบการอภิปรายตามความเหมาะสม บางครั้งการแสดงบทบาทสมมุติอาจจะต้องแสดงซ้ำเพราะว่าการแสดงในครั้งแรกเร็วเกินไปหรือไม่ชัดเจน
               11. สื่อการสอนเมื่อสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ สื่อที่ใช้ในการสอนโดยใช้บทบาทสมมุติส่วนใหญ่คือ ผู้เรียน เพราะผู้เรียนเป็นผู้ถ่ายทอดแนวคิด เนื้อหา และพฤติกรรมต่าง ๆ แต่ละขั้น และในการสรุปอาจจะใช้สื่ออื่นเสริมเพิ่มเติมก็ได้
               12. การวัดและประเมินผล
               ในส่วนของการแสดงบทบาทสมมุตินั้น ผู้สอนเป็นผู้ประเมินว่าผู้แสดงแสดงได้ในระดับใด แต่สิ่งที่ได้หรือข้อสรุปหรือแนวคิดที่ได้ผู้เรียนเป็นผู้สรุป ผู้สอนก็ใช้วิธีสังเกตว่า ในพฤติกรรมของผู้เรียนเป็นอย่างไร
               13. ข้อดีและข้อจำกัด                   
                     ข้อดี
     1)  ผู้เรียนได้แสดงออกถึงความสามารถของตนเอง
     2)  ผู้เรียนได้เข้าใจถึงพฤติกรรมของตนเองและผู้อื่น
     3)  ทำให้ผู้เรียนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
     4)  ทำให้ผู้เรียนมีทักษะในการแก้ปัญหาและตัดสินใจ
     5)  ทำให้ผู้เรียนเข้าใจถึงสภาพการณ์ที่เป็นจริงของชีวิต
     6)  ทำให้ผู้เรียนรู้จักฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่น
     7)  เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออกได้มาก
                  ข้อจำกัด
     1. หากการเตรียมการไม่ดีก็จะเสียเวลามาก
     2. หากผู้แสดงอายหรือขัดเขินก็จะทำให้การแสดงนั้นไม่ชัดเจนแนบเนียน ทำให้เรื่อราวเปลี่ยนไป
     3. หากการแสดงบางอย่างไปกระทบจิตใจผู้เรียนมากเกินไป อาจทำให้สถานการณ์
ของการแสดงเปลี่ยนไป              
     4.  ผู้สอนที่ไม่สามารถเข้าถึงปัญหาได้เองทั้งหมดก็อาจจะทำให้การแสดงนั้นมีอุปสรรคมาก
     5.  บางครั้งถ้าคาดหวังในสถานการณ์มากเกินไปก็ต้องเตรียมตัวมาก ซึ่งทำให้ไม่คุ้ม
กับการลงทุน              
                  14. การปรับใช้การสอนโดยใช้บทบาทสมมุติเพื่อเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ            
  การแสดงบทบาทสมมุติจะได้ผลดีและตรงกับแนวคิดผู้เรียนเป็นสำคัญต้องคำนึงถึง
    1)  ผู้สอนควรศึกษาและทำความเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ ก่อนที่จะให้ผู้เรียนได้แสดง
    2)  ผู้สอนต้องคาดหวังถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้วหาทางแก้ปัญหาไว้ก่อน
    3)  การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมมากที่สุดไม่ว่าจะเป็นการเลือกสถานการณ์ บทบาท กำหนดผู้แสดง การวิเคราะห์ผล และสรุป อภิปรายผลโดยนักเรียนเอง จะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้
   4) ครูผู้สอนจะต้องมีความสามารถในการกระตุ้นให้ผู้เรียน อยากคิด อยากทำ อยาก
แสดง และต้องการมีส่วนร่วมให้มากที่สุด
   5)  บรรยากาศของการแสดงบทบาทสมมุติ ควรจะเป็นบรรยากาศของประชาธิปไตย
ไม่อึดอัดหรือไม่เต็มใจ



รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบ Jigsaw
การเรียนรู้แบบร่วมมือ(Cooperative Learning)
การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นการจัดการเรียนการสอนที่แบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มเล็กๆ สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกันมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น มีการช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกัน และมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตน และส่วนรวม เพื่อให้กลุ่มได้รับความสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด

องค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
องค์ประกอบที่สำคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ ดังนี้
       1.ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก (Positive Interdependence) หมายถึง การที่สมาชิกในกลุ่มทำงานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน มีการทำงานร่วมกัน โดยที่สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการทำงานนั้น มีการแบ่งปันวัสดุ อุปกรณ์ ข้อมูลต่างๆ ในการทำงาน ทุกคนมีบทบาท หน้าที่และประสบความสำเร็จร่วมกัน สมาชิกในกลุ่มจะมีความรู้สึกว่าตนประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จด้วย สมาชิกทุกคนจะได้รับผลประโยชน์ หรือรางวัลผลงานกลุ่มโดยเท่าเทียมกัน เช่น ถ้าสมาชิกทุกคนช่วยกัน ทำให้กลุ่มได้คะแนน 90% แล้ว สมาชิกแต่ละคนจะได้คะแนนพิเศษเพิ่มอีก 5 คะแนน เป็นรางวัล เป็นต้น
      2.การมีปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน (Face To Face Promotive Interaction) เป็นการติดต่อสัมพันธ์กัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน การอธิบายความรู้ให้แก่เพื่อนในกลุ่มฟัง เป็นลักษณะสำคัญของการติดต่อปฏิสัมพันธ์โดยตรงของการเรียนแบบร่วมมือ ดังนั้น จึงควรมีการแลกเปลี่ยน ให้ข้อมูลย้อนกลับ เปิดโอกาสให้สมาชิกเสนอแนวความคิดใหม่ๆ เพื่อเลือกในสิ่งที่เหมาะสมที่สุด
      3.ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล (Individual Accountability) ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล เป็นความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของสมาชิกแต่ละบุคคล โดยมีการช่วยเหลือส่งเสริมซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดความสำเร็จตามเป้าหมายกลุ่ม โดยที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มมีความมั่นใจ และพร้อมที่จะได้รับการทดสอบเป็นรายบุคคล
     4.การใช้ทักษะระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย (Interdependence and Small Group Skills) ทักษะระหว่างบุคคล และทักษะการทำงานกลุ่มย่อย นักเรียนควรได้รับการฝึกฝนทักษะเหล่านี้เสียก่อน เพราะเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้การทำงานกลุ่มประสบผลสำเร็จ นักเรียนควรได้รับการฝึกทักษะในการสื่อสาร การเป็นผู้นำ การไว้วางใจผู้อื่น การตัดสินใจ การ แก้ปัญหา ครูควรจัดสถานการณ์ที่จะส่งเสริมให้นักเรียน เพื่อให้นักเรียนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในปี ค.ศ. 1991 จอห์นสัน และ จอห์นสัน ได้เพิ่มองค์ประกอบการเรียนรู้แบบร่วมมือ ขึ้นอีก 1 องค์ประกอบ ได้แก่
     5.กระบวนการกลุ่ม (Group Process) เป็นกระบวนการทำงานที่มีขั้นตอนหรือวิธีการที่จะช่วยให้การดำเนินงานกลุ่มเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือ สมาชิกทุกคนต้องทำความเข้าใจในเป้าหมายการทำงาน วางแผนปฏิบัติงานร่วมกัน ดำเนินงานตามแผนตลอดจนประเมินผลและปรับปรุงงาน
องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือทั้ง 5 องค์ประกอบนี้ ต่างมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ในอันที่จะช่วยให้การเรียนแบบร่วมมือดำเนินไปด้วยดี และบรรลุตามเป้าหมายที่กลุ่มกำหนด โดยเฉพาะทักษะทางสังคม ทักษะการทำงานกลุ่มย่อย และกระบวนการกลุ่มซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับการฝึกฝน ทั้งนี้เพื่อให้สมาชิกกลุ่มเกิดความรู้ ความเข้าใจและสามารถนำทักษะเหล่านี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
จากองค์ประกอบสำคัญของการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) ซึ่งได้แก่ ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันในทางบวก การปฏิสัมพันธ์ที่ส่งเสริมกันและกัน ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล การใช้ทักษะระหว่างบุคคล การทำงานกลุ่มย่อย และกระบวนการกลุ่ม องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้การเรียนรู้แบบร่วมมือแตกต่างออกไปจากการเรียนรู้เป็นกลุ่มแบบดั้งเดิม (Traditional Learning) กล่าวคือ การเรียนเป็นกลุ่มแบบดั้งเดิมนั้น เป็นเพียงการแบ่งกลุ่มการเรียน เพื่อให้นักเรียนปฏิบัติงานร่วมกัน แบ่งงานกันทำ สมาชิกในกลุ่มต่างทำงานเพื่อให้งานสำเร็จ เน้นที่ผลงานมากกว่ากระบวนการในการทำงาน ดังนั้นสมาชิกบางคนอาจมีความรับผิดชอบในตนเองสูง แต่สมาชิกบางคนอาจไม่มีความรับผิดชอบ ขอเพียงมีชื่อในกลุ่ม มีผลงานออกมาเพื่อส่งครูเท่านั้น ซึ่งต่างจากการเรียนเป็นกลุ่มแบบร่วมมือที่สมาชิกแต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและต่อเพื่อนสมาชิกในกลุ่มด้วย

รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบ Jigsaw
รูปเป็นการสอนที่อาศัยแนวคิดการต่อภาพ ผู้เสนอวิธีการนี้คนแรก คือ Aronson et.al (1978 ,pp. 22-25) ต่อมามีการปรับและเพิ่มเติมขั้นตอนให้มากขึ้น แต่วิธีการหลัก ยังคงเดิม การสอนแบบนี้นักเรียนแต่ละคนจะได้ศึกษาเพียงส่วนหนึ่งหรือหัวข้อย่อยของเนื้อหาทั้งหมด โดยการศึกษาเรื่องนั้นๆ จากเอกสารหรือกิจกรรมที่ครูจัดให้ ในตอนที่ศึกษาหัวข้อย่อยนั้น นักเรียนจะทำงานเป็นกลุ่มกับเพื่อนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาหัวข้อย่อยเดียวกัน และเตรียมพร้อมที่จะกลับไปอธิบายหรือสอนเพื่อนสมาชิกในกลุ่มพื้นฐานของตนเอง

Jigsaw มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วน คือ
      1)การเตรียมสื่อการเรียนการสอน (Preparation Of Materials) ครูสร้างใบงานให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนของกลุ่ม และสร้างแบบทดสอบย่อยในแต่ละหน่วยการเรียน แต่ถ้ามีหนังสือเรียนอยู่แล้วยิ่งทำให้ง่ายขึ้นได้ โดยแบ่งเนื้อหาในแต่ละหัวข้อเรื่องที่จะสอนเพื่อทำใบงานสำหรับผู้เชี่ยวชาญ ในใบงานควรบอกว่านักเรียนต้องทำอะไร เช่น ให้อ่านหนังสือหน้าอะไร อ่านหัวข้ออะไร จากหนังสือหน้าไหนถึงหน้าไหน หรือให้ดูวิดีทัศน์ หรือให้ลงมือปฏิบัติการทดลอง พร้อมกับมีคำถามให้ตอบตอนท้ายของกิจกรรมที่ทำด้วย
     2) การจัดสมาชิกของกลุ่มและของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Teams And Expert Groups) ครูจะแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ (Home Groups) แต่ละกลุ่มจะมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละเรื่องตามใบงานที่ครูสร้างขึ้น ครูแจกใบงานให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนในกลุ่ม และให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนศึกษาใบงานของตนก่อนที่จะแยกไปตามกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญ (Expert Groups) เพื่อทำงานตามใบงานนั้นๆ เมื่อนักเรียนพร้อมที่จะทำกิจกรรม ครูแยกกลุ่มนักเรียนใหม่ตามใบงาน กิจกรรมในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแต่ละกลุ่มอาจแตกต่างกัน ครูพยายามกระตุ้นให้นักเรียนศึกษาหัวข้อตามใบงานที่แตกต่างกัน ดังนั้นใบงานที่ครูสร้างขึ้นจึงมีความสำคัญมาก เพราะในใบงานจะนำเสนอด้วยกิจกรรมที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในแต่ละกลุ่มอาจจะลงมือปฏิบัติการทดลองศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่ได้รับมอบหมาย พร้อมกับเตรียมการนำเสนอสิ่งนั้นอย่างสั้นๆ เพื่อว่าเขาจะได้นำกลับไปสอนสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่มที่ไม่ได้ศึกษาในหัวข้อดังกล่าว
     3) การรายงานและการทดสอบย่อย (Reports And Quizzes) เมื่อกลุ่มผู้เชี่ยวชาญแต่ละกลุ่มทำงานเสร็จแล้ว ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนก็จะกลับไปยังกลุ่มเดิมของตัวเอง (Home Group) แล้วสอนเรื่องที่ตัวเองทำให้กับสมาชิกคนอื่นๆ ในกลุ่ม ครูกระตุ้นให้นักเรียนใช้วิธีการต่างๆ ในการนำเสนอสิ่งที่จะสอน นักเรียนอาจใช้วิธีการสาธิต อ่านรายงาน ใช้คอมพิวเตอร์ รูปถ่าย ไดอะแกรม แผนภูมิหรือภาพวาดในการนำเสนอความคิดเห็น ครูกระตุ้นให้สมาชิกในกลุ่มได้มีการอภิปรายและซักถามปัญหาต่างๆ โดยที่สมาชิกแต่ละคนต้องมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้แต่ละเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนนำเสนอ
เมื่อผู้เชี่ยวชาญได้รายงานผลงานกับกลุ่มของตัวเองแล้ว ควรมีการอภิปรายร่วมกันทั้งห้องเรียนอีกครั้งหนึ่ง หรือมีการถามคำถามและตอบคำถามในหัวข้อเรื่องที่ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนได้ศึกษา หลังจากนั้นครูก็ทำการทดสอบย่อย เกณฑ์การประเมินการให้คะแนนเหมือนกับวิธีการของ การเรียนแบบร่วมมือของรูปแบบ STAD
วิธีการของ Jigsaw จะดีกว่า STAD ตรงที่ว่า เป็นการฝึกให้นักเรียนแต่ละคนมีความรับผิดชอบในการเรียนมากขึ้น และนักเรียนยังรับผิดชอบกับการสอนสมาชิกคนอื่นๆ ของกลุ่มอีกด้วย นักเรียนไม่ว่าจะมีความสามารถมากน้อยแค่ไหนจะต้องรับผิดชอบเหมือนๆ กัน ถึงแม้ว่าความลึกความกว้างหรือคุณภาพของรายงานจะแตกต่างกันก็ตาม

ขั้นตอนการสอนแบบ Jigsaw มีดังนี้
ขั้นที่ 1 ครูแบ่งหัวข้อที่จะเรียนเป็นหัวข้อย่อยเท่าจำนวนสมาชิกของแต่ละกลุ่ม ถ้ากลุ่มขนาด 3 คน ให้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วน
ขั้นที่ 2 จัดกลุ่มนักเรียนให้มีสมาชิกที่มีความสามารถคละกัน เป็นกลุ่มพื้นฐานหรือ Home Groups จำนวนสมาชิกในกลุ่มอาจเป็น 3 หรือ 4 คนก็ได้ จากนั้นแจกเอกสารหรืออุปกรณ์การสอนให้กลุ่มละ 1 ชุด หรือให้คนละชุดก็ได้ กำหนดให้สมาชิกแต่ละคนรับผิดชอบอ่านเอกสารเพียง 1 ส่วนที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น หากแต่ละกลุ่มได้รับเอกสารเพียงชุดเดียว ให้นักเรียนแยกเอกสารออกเป็นส่วนๆ ตามหัวข้อย่อย ดังนี้ ในแต่ละกลุ่ม
นักเรียนคนที่ 1 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 1
นักเรียนคนที่ 2 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 2
นักเรียนคนที่ 3 จะอ่านเฉพาะหัวข้อย่อยที่ 3
ขั้นที่ 3 เป็นการศึกษาในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert Groups)
นักเรียนจะแยกย้ายจากกลุ่มพื้นฐาน (Home Group) ไปจับกลุ่มใหม่เพื่อทำการศึกษาเอกสารส่วนที่ได้รับมอบหมาย โดยคนที่ได้รับมอบหมายให้ศึกษาเอกสารหัวข้อย่อยเดียวกัน จะไปนั่งเป็นกลุ่มด้วยกัน กลุ่มละ 3 หรือ 4 คน แล้วแต่จำนวนสมาชิกของกลุ่มที่ครูกำหนด
ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ สมาชิกจะอ่านเอกสาร สรุปเนื้อหาสาระ จัดลำดับขั้นตอนการนำเสนอ เพื่อเตรียมทุกคนให้พร้อมที่จะไปสอนหัวข้อนั้น ที่กลุ่มเดิมของตนเอง
ขั้นที่ 4 นักเรียนแต่ละคนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลับกลุ่มเดิมของตน แล้วผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันอธิบายให้เพื่อนในกลุ่มฟังทีละหัวข้อ มีการซักถามข้อสงสัย ตอบปัญหา ทบทวนให้เข้าใจชัดเจน
ขั้นที่ 5 นักเรียนแต่ละคนทำแบบทดสอบเกี่ยวกับเนื้อหาทั้งหมดทุกหัวข้อ แล้วนำคะแนนของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม
ขั้นที่ 6 กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุด จะได้รับรางวัล หรือการชมเชย
การสอนแบบ Jigsaw เป็นการสอนที่อาจนำไปใช้ในการทบทวนเนื้อหาที่มีหลายๆ หัวข้อ หรือใช้กับบทเรียนที่เนื้อหาแบ่งแยกเป็นส่วนๆ ได้ และเป็นเนื้อหาที่นักเรียนศึกษาจากเอกสารและสื่อการสอนได้

สรุปขั้นตอนการจัดการเรียนการสอนแบบ Jigsaw
1. ครูและนักเรียนทบทวนเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องที่จะเรียนแล้วครูจัดกลุ่มนักเรียนเป็น Home Group
กลุ่ม กลุ่ม กลุ่ม กลุ่ม D
1) ด.ญ. ก 1) ………….. 1)……………. 1)……………
2) ด.ญ. ข 2) ………….. 2)……………. 2)……………
3) ด.ญ. ค 3) ………….. 3)……………. 3)……………
4) ด.ญ. ง 4) ………….. 4)……………. 4)……………
2.ครูแจกใบงานให้ทุกกลุ่ม กลุ่มละ 4 แบบฝึก ซึ่งแต่ละใบงานเป็นหัวข้อย่อยๆ ไม่เหมือนกันอาจจะเป็น 4 ระดับก็ได้ (ง่ายยาก) สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มเลือกคนละ 1 ใบงาน โดยแต่ละคนในกลุ่มจะได้ใบงานไม่เหมือนกัน เช่น นักเรียนกลุ่ม จะแบ่งหน้าที่กันดังนี้
นักเรียน A1 อ่านและทำใบงานที่ 1
นักเรียน A2 อ่านและทำใบงานที่ 2
นักเรียน A3 อ่านและทำใบงานที่ 3
นักเรียน A4 อ่านและทำใบงานที่ 4
3.นักเรียนที่ได้ใบงานชุดเดียวกันจากแต่ละกลุ่มมานั่งด้วยกัน เพื่อทำงาน ซักถามและทำกิจกรรมในใบงาน เรียกกลุ่มนี้ว่า Expert Groups โดยแต่ละคนในกลุ่มแบ่งหน้าที่กันทำงาน เช่น
นักเรียนคนที่ 1 อ่านคำแนะนำ คำสั่งหรือโจทย์ในแบบฝึก
นักเรียนคนที่ 2 จดบันทึกข้อมูลสำคัญ แยกแยะสิ่งที่ต้องทำตามลำดับ
นักเรียนคนที่ 3 หาคำตอบ
นักเรียนคนที่ 4 สรุปทบทวน และตรวจสอบคำตอบ
เมื่อนักเรียนทำแต่ละข้อหรือแต่ละส่วนเสร็จแล้ว ให้นักเรียนหมุนเวียนเปลี่ยนหน้าที่กันจนเสร็จใบงานทั้งหมด
4.นักเรียนแต่ละคนใน Expert Groups กลับมายังกลุ่มเดิม (Home Groups) ของตนผลัดกันอธิบายให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มฟัง เริ่มจากแบบฝึกที่ 1234 (ง่ายยาก)
5.ครูทำการทดสอบนักเรียนทุกคนในห้องเป็นรายบุคคลแล้ว นำคะแนนพัฒนาการของแต่ละคนในกลุ่มมารวมเป็น “คะแนนกลุ่ม” กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รางวัลหรือติดประกาศไว้ในบอร์ด
วรรณทิพา รอดแสงค้า ได้จัดทำตัวอย่างการจัดการเรียนการสอนแบบ Jigsawเรื่องการหาความหนาแน่นของวัตถุ ในวิชาวิทยาศาสตร์ ไว้ดังนี้
วัตถุประสงค์ เมื่อจบบทเรียนนี้ แล้วนักเรียนสามารถ
1. บอกและลงมือปฏิบัติวิธีการหามวล น้ำหนัก และปริมาตรของวัตถุที่เป็นของแข็งทรงเรขาคณิต วัตถุที่เป็นของแข็งรูปร่างไม่เป็นทรงเรขาคณิต และวัตถุที่เป็นของเหลวได้
2. คำนวณหาค่าความหนาแน่นของวัตถุต่างๆ ที่กำหนดให้ได้
กิจกรรมการเรียนการสอน
ขั้นที่ 1 :ครูทบทวนถึงวิธีการหาความหนาแน่นของวัตถุโดยใช้การบรรยายและการอภิปราย
ขั้นที่ 2 :ครูแบ่งเรื่อง “วิธีการหาความหนาแน่นของวัตถุ” ออกเป็น 4 หัวข้อ คือ
1) การหาความหนาแน่นของวัตถุที่เป็นของแข็งทรงเรขาคณิต
2) การหาความหนาแน่นของวัตถุที่เป็นของแข็งรูปร่างไม่เป็นทรงเรขาคณิต
3) ความหนาแน่นคืออะไร
4) ปริมาตรและความหนาแน่นคืออะไร
ขั้นที่ 3 :ครูแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ 4 คน นักเรียนในแต่ละกลุ่มมีความสามารถแตกต่างกัน มีทั้งนักเรียนหญิงและนักเรียนชาย สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มจะศึกษาใบงานของตนเพียงเรื่องเดียว
กลุ่ม ก กลุ่ม ข กลุ่ม ค กลุ่ม ง
ชื่อสมาชิก 1) ……. 1) …….. 1)………. 1)....
2) ………….. 2) ………….. 2)……………. 2 )......
3) ………….. 3) ………….. 3)……………. 3)......
4) ............ 4) ………….. 4)……………. 4)......
นักเรียนคนที่ 1 ในกลุ่ม กง อ่านใบความรู้และทำกิจกรรมในใบงานที่ 1 เท่านั้น
นักเรียนคนที่ 2 ในกลุ่ม กง อ่านใบความรู้และทำกิจกรรมในใบงานที่ 2 เท่านั้น
นักเรียนคนที่ 3 ในกลุ่ม กง อ่านใบความรู้และทำกิจกรรมในใบงานที่ 3 เท่านั้น
นักเรียนคนที่ 4 ในกลุ่ม กง อ่านใบความรู้และทำกิจกรรมในใบงานที่ 4 เท่านั้น
ขั้นที่ 4 : นักเรียนที่ได้ใบงานเดียวกันมารวมกันเป็นกลุ่มเชี่ยวชาญ (Expert Groups) มีการอภิปรายและเขียนรายงานในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ
ตัวอย่างบทบาทของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขณะทำกิจกรรมตามใบงานที่ 1 คือ
นักเรียนคนที่ 1 อ่านคำถามและเปลี่ยนแปลงคำถามให้เป็นคำพูดของตนเอง และค้นหาว่ามีข้อมูลอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องกับคำถามนั้น
นักเรียนคนที่ 2 ทำการทดลอง วัด และจัดกระทำข้อมูล
นักเรียนคนที่ 3 คำนวณและเขียนคำตอบลงในตาราง
นักเรียนคนที่ 4 ตรวจทานคำตอบและตรวจผลที่ได้จากการทำการทดลอง
หลังจากทำการทดลองกับวัตถุแท่งที่ 1 เสร็จแล้วก็ทำการทดลองกับวัตถุแท่งที่ 2 และวัตถุแท่งอื่นๆ พร้อมกับมีการเปลี่ยนบทบาทของนักเรียนไปจนกว่าจะทำการทดลองกับวัตถุทุกแท่งจนเสร็จ
ขั้นที่ 5 : นักเรียนในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลับไปอยู่ในกลุ่มเดิมของตน (Home Groups) พร้อมกับ ผลัดเปลี่ยนกันสอนส่วนที่ตนรับผิดชอบโดยใช้รายงานหรือใบงานของกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ โดยเริ่มจากใบงานที่ 1 ก่อน
ขั้นที่ 6 :ครูทดสอบย่อยนักเรียน เป็นรายบุคคลแล้วนำคะแนนพัฒนาการของนักเรียนแต่ละคนจะนำมารวมกันเป็นคะแนนบอกกลุ่ม
ขั้นที่ 7 :รายงานผลการทำงานกลุ่มให้นักเรียนทั้งห้องทราบ




วิธีสอนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning   : PL)
วิธีสอนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม  (Participatory Learning  : PL)    โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น การตัดสินใจเลือกบทเรียนที่ต้องการเรียนรู้ในลักษณะกลุ่ม หรือศึกษาด้วยตนเอง  ผู้เรียนจะร่วมกันจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทุกขั้นตอน  ฝึกปฏิบัติการวางแผนการทำกิจกรรม การเรียนรู้ร่วมกัน และทำรายงานผลการเรียนรู้
                การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้เมื่อผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมตั้งแต่เริ่มต้น  เพราะเป็นการให้ผู้เรียนค้นพบตนเอง  เข้าใจความต้องการและทราบถึงระดับความสามารถของตนเอง ซึ่งจะเป็นส่วนกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้มากขึ้น

องค์ประกอบสำคัญ
1.  ประสบการณ์  (Experience)  เป็นขั้นตอนที่ครูกระตุ้นให้ผู้เรียนนำความรู้และประสบการณ์เดิมของตนเองมาพัฒนาเป็นองค์ความรู้และประสบการณ์ใหม่ของตนเอง โดยการศึกษาหาความรู้จากครู จากสื่อต่างๆ รวมทั้งการทำงานกลุ่ม เป็นต้น
2.  สะท้อนความคิด/ อภิปราย (Reflection and Discussion) เป็นขั้นตอนที่ครูจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและสร้างบรรยากาศเพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงออกด้วยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยผู้เรียนและครูร่วมกันกำหนดประเด็นหัวข้อในการอภิปรายกลุ่มย่อยเพื่อนำเสนอต่อกลุ่มใหญ่เพื่อรับฟังความคิดเห็นโดยใช้ความรู้พื้นฐานจากประสบการณ์ของผู้เรียน
3.ความคิดรวบยอด  (Concept) เป็นขั้นตอนการสร้างความเข้าใจของผู้เรียนเอง โดยการวิเคราะห์และสังเคราะห์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากผลของการสะท้อนความคิดและอภิปรายเพื่อนำไปสู่การเกิดความคิดรวบยอดให้เป็นความรู้ของตนเอง
4.ทดลอง/ ประยุกต์แนวคิด (Experimentation/Application) เป็นขั้นตอนที่ต้องการให้ผู้เรียน
นำผลจากขั้นความคิดรวบยอดที่เกิดขึ้นใหม่ไปประยุกต์ใช้ในลักษณะหรือสถานการณ์ต่างๆ จนเกิดเป็นแนวทางของตนเอง
             2)     ค้นคว้าทฤษฎีที่สนับสนุน
              การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม  มีพัฒนาการมาจากการนักปรัชญาการศึกษา คือ Dewey ที่ได้เริ่มใช้วิธีการเรียนรู้จากการกระทำ (learning by doing)  ซึ่งเป็นพื้นฐานการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่เป็นการดึงเอาความสามารถของผู้เรียนออกมา  ซึ่งผู้เรียนจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอนมากขึ้น ผู้สอนจะกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาได้มากขึ้น และการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนี้ยังเป็นการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง  ดังที่มาตรา 22 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542  ได้กล่าวไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและตามศักยภาพ” รวมทั้งการจัดการเรียนรู้แบบนี้ยังต้องอาศัยประสบการณ์เดิมของผู้เรียน  ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎี Constructivism ที่ว่ามนุษย์สามารถสร้างความรู้ของตนเองได้โดยอาศัยประสบการณ์และความรู้เดิมของแต่ละคน  ผู้เรียนจะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม  การเรียนรู้ของแต่ละบุคคนจะมีระดับแตกต่างกันไป เรียกได้ว่าสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลมากขึ้นตามลำดับ  และผู้เรียนจะควบคุมการเรียนรู้ด้วยตนเอง  และสอดคล้องกับที่โคล์บ และฟราย (Kolb and Fry. 1975)  ได้กล่าวว่า  การเรียนรู้จากประสบการณ์  คือ กระบวนการสร้างความรู้ ทักษะ และเจตคติด้วยการนำเอาประสบการณ์เดิมของผู้เรียนมาบูรณาการเพื่อสร้างการเรียนรู้ใหม่ ๆ  
           3) การนำไปประยุกต์ใช้
                  การจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนั้น  สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น  นำไปใช้ในการอภิปรายกลุ่มในรายวิชาต่างๆ ที่ให้ผู้เรียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นหรือมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน  รวมทั้งนำไปประยุกต์ใช้โดยเมื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว ก็จะมีการสรุปความคิดต่างๆ ในรูปแบบของแผนผังความคิด  (Mind mapping) ซึ่งเป็นขั้น Concept  เพื่อเป็นการสรุปความรู้ที่ได้รับจากการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง   และการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานอื่นๆ ได้อีกด้วย  เช่น  งานพัฒนาชุมชนต่างๆ ซึ่งจะนำเอาหลักการของการเรียนรู้แบบนี้ไปใช้เพื่อให้ทุกคนในชุมชนมีส่วนร่วมในกิจกรรมหรือโครงการต่างๆ ของชุมชน 
              4) การวิพากษ์ข้อดี ข้อจำกัด ข้อค้นพบ
                   การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) เป็นการเรียนรู้ในเชิงประสบการณ์และการเรียนรู้ด้วยกระบวนการกลุ่ม  ซึ่งมีข้อดี คือ ผู้เรียนได้มีการดึงเอาประสบการณ์ของตนเองที่ติดตัวออกมาใช้ในการเรียนรู้  
ผู้เรียนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็น  เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ จากเพื่อนในกลุ่มเพิ่มมากขึ้นด้วย  และช่วยกันทำงานให้บรรลุผลสำเร็จได้ด้วยดี  ซึ่งผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในทุก      กระบวนการ รวมทั้งการเรียนรู้แบบร่วมมือนี้จะเป็นการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการมากกว่าเนื้อหา ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเอง
               ในส่วนของข้อจำกัดของการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (Participatory Learning) คือ  เมื่อมีการจัดกิจกรรมกลุ่ม อาจมีผู้เรียนบางคนที่ไม่ให้ความร่วมมือ หรือไม่ยอมแสดงความคิดเห็นร่วมกับผู้อื่น  รวมทั้งในการจัดกิจกรรมกลุ่มนั้น  อาจจะทำให้ผู้เรียนไม่ได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมทุกคน  ซึ่งก็เป็นข้อจำกัดของการจัดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนี้



กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ 
 ความหมาย
                การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ  เป็นการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน โดยการ
                     1.  ผสมผสานหลักสูตร – ความรู้ในสาขาวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
                     2.  ผสมผสานกระบวนการสอน / กระบวนการเรียนรู้ / ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมอันดีงาม  โดยคำนึงถึง
-          ความแตกต่างระหว่างบุคคล
-          ความสามารถทางสติปัญญา
                การบูรณาการทางการสอนจะช่วยฝึกให้ผู้เรียนรู้จักนำความรู้ไปผสมผสานกัน   ฝึกให้รู้จักใช้ เหตุผลและการนำไปประยุกต์ใช้  เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
 เหตุผลในการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ
ด้านจิตวิทยา
ผู้เรียนได้มีโอกาสได้รับความรู้ที่หลากหลาย เกิดการนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
ด้านสังคมวิทยา
ผู้เรียนต้องการทักษะจากหลายสาขาวิชาร่วมกัน จึงจะสามารถนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
ด้านบริหาร
-          แก้ปัญหาด้านการขาดแคลนบุคลากร
-          แก้ปัญหาความซ้ำซ้อนของเนื้อหาวิชา
-          ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
แนวคิด / ทฤษฎี
              กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ
1.      ปรัชญาการศึกษาแบบ  Progressivism  ของ  John Dewey
-          การศึกษาคือชีวิต : คนต้องศึกษาตลอดชีวิต (ความรู้มากมายมหาศาล)
-          เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
-     การเรียนโดยการแก้ปัญหา
-          ส่งเสริมร่วมมือการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
-          สร้างเสริมการอยู่ร่วมกันในวิถีประชาธิปไตย
              2.   ทฤษฎีการเรียนรู้ในด้าน  Cognitive  ที่ใช้  Constructivism  Approach 
      หลักสำคัญของ  Constructivism  คือ ผู้เรียนต้องสร้างความรู้เอง  ครูเป็นผู้ช่วย
      โดยจัดหาข้อมูลข่าวสารที่มีความหมายให้แก่ผู้เรียน  หรือให้โอกาสผู้เรียนได้ค้นพบ
      ด้วยตนเอง  และเป็นผู้ลงมือกระทำ
              3.   ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมายของ  Ausubel
ทฤษฎีการเรียนรู้ของ  Ausubel  เน้นความสำคัญของการเรียนรู้อย่างมีความเข้าใจและมีความหมาย   การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เรียนได้เชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิมที่อยู่ในสมองของผู้เรียน
              4.   การถ่ายโยงการเรียนรู้  (Transfer of Learning)
การถ่ายโยงการเรียนรู้  หมายถึง  การนำสิ่งที่เรียนรู้แล้วไปใช้ในสถานการณ์ใหม่  การถ่ายโยงการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่สำคัญเพราะวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การเตรียมผู้เรียนให้สามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ประโยชน์ในอนาคตทั้งในด้านประกอบอาชีพ และการแก้ปัญหาต่าง ๆ 

  หลักการจัดการเรียนรู้ 
         การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ (Learning Integration)   อาจจัดได้  2  ลักษณะ  คือ
         1.  การบูรณาการภายในวิชา  (Intradisciplinary)    เป็นการบูรณาการที่เกิดขึ้นภายในขอบเขตของเนื้อหาเดียวกัน  วิชาที่ใช้หลักการบูรณาการภายในวิชาเดียวกันมากที่สุด คือ วิชาภาษา หรือกระบวนการทางภาษา ซึ่งประกอบด้วยการฟัง  การพูด การอ่าน   และการเขียน   เนื่องจากมีความเกี่ยวพันกันหลายแบบ  นอกจากวิชาภาษาแล้ว  วิชาสังคมศึกษา  วิทยาศาสตร์  หรือคณิตศาสตร์    ก็ใช้หลักการเชื่อมโยงภายในวิชาได้
         2.  การบูรณาการระหว่างวิชา  (Interdisciplinary)    เป็นการเชื่อมโยงหรือรวมศาสตร์ต่าง ๆ  ตั้งแต่  2 สาขาวิชาขึ้นไปภายในหัวเรื่อง (Theme) เดียวกัน   เป็นการเรียนรู้โดยใช้ความรู้ความเข้าใจและทักษะในศาสตร์ หรือความรู้ในวิชาต่าง ๆ มากกว่า 1 วิชาขึ้นไป  เพื่อแก้ปัญหา หรือการแสวงหาความรู้ความเข้าใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง    การเชื่อมโยงความรู้และทักษะระหว่างวิชาต่าง ๆ  จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงผิวเผินและมีลักษณะใกล้เคียงกับชีวิตจริงมากขึ้น
           การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการทั้ง  2  ลักษณะนั้น    สามารถจัดเป็นรูปแบบของการบูรณาการ (Models  of Integration)  ได้  4  รูปแบบ  คือ
         1.      บูรณาการแบบสอดแทรก  (Infusion Instruction)   ครูผู้สอนในวิชาหนึ่งสอดแทรกเนื้อหา
ของวิชาอื่น ๆ เข้าในการเรียนการสอนของตน  เป็นการสอนตามแผนการสอนและประเมินผลโดยครูคนเดียว  วิธีนี้ถึงแม้นผู้เรียนจะเรียนจากครูคนเดียว  แต่สามารถมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิชาได้ 
           2.  บูรณาการแบบขนาน  (Parallel  Instruction)  ครูตั้งแต่  2  คนขึ้นไปสอนต่างวิชากันต่างคนต่างสอน แต่ต้องวางแผนเพื่อสอนร่วมกัน  โดยมุ่งสอนหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาเดียวกัน  ระบุสิ่งที่ทำร่วมกันและตัดสินใจร่วมกัน  ว่าจะสอนหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอดและปัญหานั้น ๆ อย่างไร  ในวิชาของแต่ละคน ใครควรสอนก่อน-หลัง  งานหรือการบ้านที่มอบหมายให้ผู้เรียนทำจะแตกต่างกันไปในแต่ละวิชา แต่ทั้งหมดจะต้องมีหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาร่วมกัน  การสอนแต่ละวิชาจะเสริมซึ่งกันและกัน   ทำให้ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันระหว่างวิชา
           3.  บูรณาการแบบสหวิทยาการ  (Multidisciplinary Instruction)   การจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบนี้คล้ายกับบูรณาการแบบขนาน  กล่าวคือ  ครูตั้งแต่  2  คนขึ้นไปสอนต่างวิชากัน มาวางแผนเพื่อสอนร่วมกัน  โดยกำหนดว่าจะสอนหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาเดียวกัน  ต่างคนต่างแยกกันสอนตามแผนการสอนของตน  แต่มอบหมายให้ผู้เรียนทำงานหรือโครงการร่วมกัน  ซึ่งจะช่วยเชื่อมโยงความรู้สาขาวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกันจนสร้างชิ้นงานได้   ครูแต่ละวิชากำหนดเกณฑ์เพื่อประเมินผลชิ้นงานของผู้เรียนในส่วนวิชาที่ตนสอน
           4.  บูรณาการแบบข้ามวิชา หรือสอนเป็นคณะ (Transdisciplinary Instruction)  ครูที่สอนวิชาต่าง ๆ ร่วมกันวางแผน ปรึกษาหารือ กำหนดหัวเรื่อง/ความคิดรวบยอด/ปัญหาเดียวกัน  จัดทำแผนการสอนร่วมกัน  แล้วร่วมกันสอนเป็นคณะ(Team)   โดยดำเนินการสอนผู้เรียนกลุ่มเดียวกัน  มอบหมายงาน/โครงการให้นักเรียนทำร่วมกัน  ครูทุกวิชาร่วมกันกำหนดเกณฑ์เพื่อประเมินผลชิ้นงานของผู้เรียนร่วมกัน
  ขั้นตอนและวิธีการ 
         การจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ  ทั้งการบูรณาการภายในวิชาและบูรณาการระหว่างวิชา  มีหลักการเช่นเดียวกัน โดยมีขั้นตอนและวิธีการดังต่อไปนี้
         1.  การวางแผนและการประเมินผลการสอนแบบบูรณาการ
             ขั้นที่ 1     วิเคราะห์หลักสูตรและเลือกหัวเรื่อง  (Theme)
-          ระดมพลังสมองของครู /ผู้เรียน
-          กำหนดโครงการสอนให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวต 
                        -     การศึกษาเอกสารต่าง ๆ
-          กำหนดหัวข้อเรื่อง (Topic) ให้แคบลง (หาความสัมพันธ์ของความรู้ในวิชาต่าง ๆ
             ขั้นที่ 2    การพัฒนาหัวเรื่อง 
-          กำหนดเวลาในการสอนให้เหมาะสมโดยคำนึงถึงปฎิทินปฎิบัติงานของโรงเรียน 
-          กำหนดวัตถุประสงค์ โดยระบุความรู้ด้วยความสามารถที่ต้องการจะให้เกิดแก่ผู้เรียน 
-          สร้างวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถสร้างความเชื่อมโยง 
-          ให้ผู้เรียนคาดการณ์ถึงความสำเร็จขั้นต้น 
             ขั้นที่ 3      แหล่งข้อมูล
-          กำหนดแหล่งข้อมูลเพื่อช่วยให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการได้ 
-          ตัวอย่างแหล่งข้อมูล 
-          สมาชิกในกลุ่ม 
-          ผู้ปกครอง 
-          การออกไปสำรวจ 
-          การบริการชุมชน 
-          การพัฒนาสื่อในเชิงพาณิชย์ 
-          เทคโนโลยี 
-          ผู้สอนจากแหล่งอื่น ๆ 
-          ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อ  ผู้ให้คำปรึกษา 
-          แหล่งข้อมูลท้องถิ่น 
              ขั้นที่ 4    การพัฒนากิจกรรมการเรียน
-          สร้างกิจกรรมข้ามวิชาในหลักสูตร 
-          การติดต่อกับแหล่งข้อมูล 
-          ข้อเสนอในการพิจารณากิจกรรม 
       การกำหนดจุดประสงค์ให้ชัดเจน 
       การใช้ประโยค 2-3 ประโยค  เพื่อให้เห็นภาพรวม
       การกำหนดสื่อการเรียนการสอน 
       การตัดสินใจเดำเนินการเรียนการสอน 
       เตรียมสื่อเพื่อจัดกิจกรรม 
       ออกแบบวิธีการวัดผลให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ 


















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น